ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ถ้าเป็นธรรม

๒๔ เม.ย. ๒๕๕๔

 

ถ้าเป็นธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๔
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราจะเริ่มต้นจากธรรมะ เห็นไหม โดยพื้นฐานถ้าเป็นธรรม.. ถ้าเป็นธรรม! สรรพสิ่งนี้เป็นธรรม ธรรมคือธรรม ถ้ามันเป็นธรรมกับอธรรมมันเข้ากันไม่ได้ ถ้าเป็นธรรมมันเข้ากันได้หมดเลย

ธรรมะ เห็นไหม ธรรมะ สัจธรรม! สัจธรรมเป็นหนึ่งเดียว สัจธรรมนี้สุดยอดมาก นี่ธรรมเหนือโลก เหนือโลกเพราะอะไร เหนือโลกเพราะมันเหนือความคาดคิด มันเหนือความโลภ ความโกรธ ความหลง.. ความหลงไง หลงว่าเป็นธรรมะ หลงว่าเป็นสัจธรรม ความหลงอันนี้ นี่อันนี้มันขัดกัน แต่ถ้าเป็นความจริงนะมันหลงไม่ได้ ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา

ความรู้จริงอันนี้ประเสริฐมาก แล้วครูบาอาจารย์ของเราเป็นธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ บอกพระอานนท์ไว้

“อานนท์ เธอทำไว้กับเรานี่นะ ผู้ใดอุปัฏฐากให้เหนือพระอานนท์ไปไม่มี”

จะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดก็แล้วแต่ ผู้ที่อุปัฏฐากได้ดีที่สุดก็ไม่ดีเกินไปกว่าพระอานนท์

“อานนท์ เธอได้ทำความดีไว้มหาศาล เราตถาคตนิพพานไปแล้ว อีก ๓ เดือนข้างหน้าจะมีสังคายนา เธอจะได้เป็นพระอรหันต์วันนั้น”

นี่เพราะอะไร เพราะคุณงามความดีของพระอานนท์นะ ได้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นบุญกุศล

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเป็นธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรม เห็นไหม สรรพสิ่งถ้าเป็นธรรมมันจะเข้ากัน มันจะเจือจานต่อกัน มันจะสร้างสมบุญญาธิการไป ถ้าสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นธรรม แต่ครูบาอาจารย์ของเราเป็นธรรม แต่สิ่งแวดล้อมนั้นเป็นธรรมไปด้วยหรือเปล่าล่ะ ถ้าสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นธรรมขึ้นมา ดูสิอย่างเช่นหลวงปู่ลี ก่อนที่หลวงตาท่านจะเสียไป หลวงปู่ลีท่านก็เป็นแบบนี้ แต่หลวงตาท่านนิพพานไปแล้ว หลวงปู่ลีท่านก็เป็นแบบนี้ คือว่ามันไม่มีเพิ่มพูนขึ้นมา และไม่มีอะไรเสียไปเลย

ถ้าความเป็นธรรม เห็นไหม ความเป็นธรรมจะเสมอต้นเสมอปลายด้วยความเป็นธรรม เพราะมันเป็นธรรม แต่ถ้าไม่มีความเป็นธรรม มันลุ่มๆ ดอนๆ ขึ้นๆ ลงๆ มันแตกต่างหลากหลายไป อันนั้นคือความไม่เป็นธรรม ความไม่เป็นธรรมเพราะอะไรล่ะ เพราะมันขาดตกบกพร่องไง นี่โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่มีที่ไหนอิ่มเต็มได้เลย ในจักรวาลนี้ก็เป็นเหมือนกัน มันแปรสภาพ ดูอากาศสิ อากาศที่มันเปลี่ยนแปลงเพราะเหตุใดล่ะ เพราะความร้อน เห็นไหม อากาศมันลอยขึ้นไปใช่ไหม ลมมันพัด มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

สภาวะแบบนี้ โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ แต่ธรรมไม่เคยพร่องนะ ถ้าจิตใจนี้เป็นธรรมขึ้นมาไม่เคยพร่อง เราจะบอกว่าสภาวธรรมนี้ เพราะเข้าใจว่าพวกเรานี่ไม่เป็นธรรม ทำอะไรก็มีแต่ความขัดแย้ง มีแต่ความขัดแย้ง ถ้าความขัดแย้งแบบประสาเรานะ ดูสิเด็กนี่นะ ลูกหลานเรา เวลาเราเอาไปให้วัคซีน เราสงสารมันไหม? อยู่ดีๆ เอาลูกเราไปให้หมอทิ่มเข็ม ทิ่มเอา ทิ่มเอา ทิ่มเอา ทำไมเราพาไปทำล่ะ? เพราะเราต้องการให้ลูกหลานเรามีวัคซีนป้องกัน มันจะได้มีความแข็งแรง โรคภัยไข้เจ็บจะไม่มาถึงลูกหลานเรา

อันนี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อธรรมะนี่ ถ้ามันออกมามันบิดเบือนไปแล้ว แล้วมันจะไปไหนล่ะ ทีนี้พอว่ามันจะไปไหนนะ ด้วยความรู้ความเห็นที่มันจะพอพูดได้ มันก็พูดได้ เห็นไหม เหมือนการให้วัคซีน แต่การให้วัคซีนนี้ ให้วัคซีนสำหรับผู้ที่ยอมรับไง ถ้าไม่ยอมรับเขาปฏิเสธวัคซีนนั้น ไม่ใช่เขาปฏิเสธนะ เขาสวาปามโลกที่เขาเห็นว่าผิดนั้นเต็มที่ไปเลย แล้วเขาก็จะตามเชื้อไขอันนั้นไป

แต่ถ้าเป็นธรรมนะ เห็นไหม ดูสิเวลาเรารักษาตัวเรา เวลามันมีผลข้างเคียง เวลาเราให้ยาไปแล้ว มันจะมีความบกพร่องอย่างไร ในร่างกายเราจะมีปฏิกิริยา เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราต้องตั้งสติของเรา เราต้องทำตามความเป็นจริงของเรา ถ้าความเป็นจริงอันนั้น สิ่งนี้สำคัญมาก สำคัญว่าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ใครก็แล้วแต่ ธรรมะนี่ถ้าปฏิบัติแล้วมันจะไปถึงที่เดียวกัน มันจะทันกันได้ไง ถ้ามันทันขึ้นมาแล้วนะ มันเห็นได้เลยว่าคนที่สอนเรานี่ถูกหรือผิด ถ้าคนที่สอนเราผิดนะ เราทำมาถูกต้องนี่มันแตกต่างกัน

ถ้ามีการโต้แย้งกัน ต้องมีผิดคนหนึ่งเด็ดขาด ถ้ามีการโต้แย้งกันมันจะถูก ๒ คน เป็นไปไม่ได้หรอก มันต้องผิดคนหนึ่ง แต่ใครผิดล่ะ? ฉะนั้น สัจธรรมมันจะโต้แย้งกันเพื่ออะไรล่ะ? ถ้ามันโต้แย้งกันก็โต้แย้งเพื่อหาความจริงไง ถ้าอันไหนมันจริงมันก็ลงสู่ความจริงนั้น แต่อันที่ไม่จริง เห็นไหม ถ้าโต้แย้งด้วยเหตุด้วยผลนะ เราฟังเหตุผลหรือเปล่า

นี่พูดถึงว่าความเป็นธรรมนะ ถ้าเป็นธรรมจะไม่มีความขัดแย้งเลย ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมา ความขัดแย้งเกิดขึ้นมาเพื่อไปสู่สัจจะความจริง แต่ถ้าความขัดแย้งทางโลกนะ ทิฐิมานะ มีทิฐิ เอาความทิฐิ เอาความเห็นต่างๆ เข้าประหัตประหารกัน เห็นไหม

เวลาหลวงตาท่านพูดนะ “ธัมมสากัจฉา เอตัมมังคลมุตตมัง ถ้าเราสนทนาธรรม เราปรึกษาธรรม เป็นมงคลกับชีวิต” แต่เวลาสนทนาธรรม ท่านบอกเลยนะ หน้าดำหน้าแดงเลย น้ำลายนี้แตกเป็นฟองเลย คือมันไม่ยอมลงกันไง ต่างคนต่างทิฐิมานะเข้าไป อันนี้ท่านบอกว่า “หมากัดกัน” ถ้าหมากัดกันนะมันไม่เป็นธรรมหรอก แต่ถ้าเป็นธรรมนะ ด้วยเหตุด้วยผล เราคุยกันด้วยเหตุด้วยผล

เวลาเราพูดไปมีคนเขาชมนะ เขาชมมาในเว็บไซด์ แหม.. หลวงพ่อพูดได้ดี๊ดี ด้วยเหตุด้วยผล เราเป็นชาวพุทธด้วยกัน ทำไมเราไม่คุยกัน ทำไมเราไม่หาความเป็นจริงด้วยกัน สิ่งนี้เวลาเขาพูดนะ เวลาเขาฟังสิ่งนั้นเขาเป็นประโยชน์ แต่พอบางกัณฑ์ถ้าเราออกเสียงดังนะ เขาคงคิดเลยนะ เอ๊ะ.. คิดผิดหรือเปล่าเนาะ เอ๊ะ.. หลวงพ่อชักเพี้ยนๆ แล้ว.. มันอยู่ที่เหตุผล เหตุการณ์นั้นมันจะจริงหรือไม่จริง

(ถ้าใครแพ้ยากันยุงนะ จะเอาออกได้ ยากันยุงนะ ถ้าใครแพ้ยกทิ้งออกไปเลย ยกไปห่างๆ ยากันยุงนี่ยกออกได้ แต่ที่จุดไว้ให้เพราะว่ามันมีตัวลิ้น ตัวลิ้นมันจะมาทำให้เราขาดนั่นได้)

ฉะนั้น นี่พูดถึงถ้าเป็นธรรม.. เป็นธรรม สรรพสิ่งก็เป็นธรรม เพื่อประโยชน์กับธรรม

ทีนี้เราจะตอบนี่ไปเรื่อยๆ เนาะ เพราะวันนี้เยอะ เอาอันนี้ก่อนเลย เพราะปัญหานี้ถ้าฟังตอนเช้าแล้ว มันจะเหมือนกันเลยเรื่องกายทิพย์ ตอนเช้าพูดเรื่องกายทิพย์ เห็นไหม เพราะว่าเขาเห็นกายทิพย์ร้อยแปดพันเก้าเลย แต่อันนั้นเขาเห็นโดยการปฏิบัติ เราถึงบอกว่า จะเห็นกายทิพย์ หรือว่าจิตหลุดออกไปต่างๆ อันนี้เราเห็นว่ามันเป็นเรื่องไสยศาสตร์ เป็นเรื่องของโลก ทีนี้เวลาเราพูดถึงคนปฏิบัติ เราต้องยกให้คนปฏิบัติมันสูงขึ้นมา ให้คนปฏิบัติสูงขึ้นมา

ฉะนั้นที่ว่ากายทิพย์ต่างๆ ที่มันออกไป เห็นไหม มันเป็นจิตไม่ปกติ ถ้าจิตปกติมันจะเข้าสู่สัมมาสมาธิ ฉะนั้นถ้าจิตเราออกไปนี่ ว่ากายทิพย์เราหลุดออกไป กายทิพย์เราออกไป นั่นล่ะส่งออกแล้ว แต่ถ้ามันเป็นการประพฤติปฏิบัตินะ ถ้าจิตเราสงบแล้วนะ เห็นไหม แล้วเห็นเรา ออกไปเดินจงกรมอยู่บนอากาศ อยู่บนก้อนเมฆ

มีนะ เป็นไปได้ ถ้าอย่างนั้นคือว่าจิตมีฤทธิ์ จิตคึกคะนอง ทีนี้ถ้าจิตคึกคะนอง ครูบาอาจารย์ที่จะควบคุม จะส่งเสริม ต้องทันกัน ฉะนั้นถ้าจิตอย่างนั้น ถ้าไม่ทันกันนะ แบบว่าอาจารย์ไม่ทันลูกศิษย์ ลูกศิษย์ล้ำหน้าไปแล้วนะ พออาจารย์ไปสอนอะไรนะ อู้ฮู.. ไม่ฟังหรอก แต่ถ้าเจออย่างนั้น ครูบาอาจารย์ต้องมีหลักมีเกณฑ์นะถึงจะควบคุม แล้วถ้าจิตมีกำลังขนาดนั้น ถ้าครูบาอาจารย์ควบคุมดีมันจะเข้ามาสู่อริยสัจได้เร็วขึ้น แล้วมันมีกำลังไป พอพิจารณากิเลสจนกิเลสขาดไปแล้วนะ พระองค์นั้นจะเป็นประโยชน์มาก

ประโยชน์เพราะจิตมันคึกคะนอง มันมีกำลังของมัน พอมีกำลังของมัน นี่มันมีอริยสัจ มีสัจจะความจริง เพราะประพฤติปฏิบัติจนถอดถอนกิเลสหมดแล้ว สิ่งที่จะเอาไปใช้ประโยชน์มหาศาลเลย เพราะด้วยกำลังจิตอันนั้น แต่ถ้าโดยทั่วไป เห็นไหม จิตปกติต่างๆ เวลาชำระกิเลสแล้ว ธรรมะก็จะแสดงได้เป็นครั้งเป็นคราว

อันนั้นพูดถึงจิตอันนั้น แต่อันนี้พูดถึงความเห็นนะ..

ถาม : “เรื่องความสงสัย เรื่องพระภูมิ เจ้าที่ และเทวดามีจริงหรือไม่ มีทั้งดีและไม่ดีใช่ไหม”

เนื่องจากมีเหตุการณ์เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับโยมช่วงสงกรานต์ โดยโยมกลับไปบ้านต่างจังหวัด แล้วเช้าวันที่โยมจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ โยมได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงงานที่ติดอยู่กับภูเขา มีต้นไม้ใหญ่มากอยู่จำนวน ๔ ต้น ติดกับสระน้ำ โยมก็ยืนมองที่ต้นไม้แล้วคิดในใจว่า “ที่นี่สวยนะ”

จากนั้นโยมก็ปวดหัวขึ้นมา โยมถึงกับหลับตา แล้วความรู้สึกของโยม ณ ตอนนั้น คือโยมจะหมดแรงไปเฉยๆ มันเหมือนมีอะไรบางอย่างมาดึงพลังงานจากตัวของโยมออกไปหาต้นไม้ โยมจึงตั้งสติแล้วนึกถึงเหรียญหลวงตาที่แขวนไว้ ขอบารมีให้หลวงตาช่วยโยมด้วย แล้วโยมก็แผ่เมตตาให้ แต่โยมก็เหมือนไม่มีเรี่ยวแรงอยู่ ช่วงที่เวลารอกลับกรุงเทพฯ โยมนั่งฟังเทศน์ของหลวงพ่อและแผ่เมตตาให้เขาตลอด กลับมาก็ภาวนาและแผ่เมตตาให้เขาทุกวัน และโยมก็ได้สอบถามทางคนที่อยู่ระหว่างโรงงานที่มีต้นไม้ เขาบอกว่าจะเห็นมีผู้หญิงห่มผ้าดี วิ่งไปมาที่ต้นไม้นั้น

โยมขอความเมตตาหลวงพ่อชี้ความสงสัยโยมว่า จากเหตุการณ์นี้เขาสามารถที่จะทำร้ายเราได้ไหมคะ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้มีการกระทำอะไรกับเขาเลย

หลวงพ่อ : นี่เวรกรรม เวลาเวรกรรมมันมาอย่างนี้ พูดถึงพระพรหม เจ้าที่ เทวดา มีทั้งดีและไม่ดี คำว่าดีและไม่ดีมันเป็นพื้นฐานของใจ.. คนทำดี อย่างเช่นเรานี่เป็นคนพาล แต่บังเอิญเราทำบุญกุศลกับพระที่ดีมากๆ เลย แต่เราเป็นคนพาล แต่ถ้าทำบุญกับพระที่ดีมากเลย การกระทำอันนั้นมันเป็นบุญกุศลไง เราก็ไปเกิดเป็นเทวดา พอไปเกิดเป็นเทวดา แล้วเราเป็นคนพาลใช่ไหม เราก็เลยกลายเป็นเทวดาพาล ไปเป็นเทวดากูก็จะพาลเขาไปทั่ว เทวดาไปนี่เดือดร้อนเพราะอะไร เดือดร้อนเพราะเรานี่แหละ

เทวดามีทั้งดีและชั่ว คำว่าดีและชั่วคือนิสัย.. นิสัยพื้นฐานมันเป็นอันหนึ่ง แต่ผลที่เราจะไปเกิดสถานะนั้น นี่มันเป็นเรื่องบุญกุศล สถานะเราได้อีกสถานะหนึ่ง สถานะนั้นถ้าเราเป็นคนดี เห็นไหม เราเป็นคนดีมากเลย แล้วเราสร้างแต่สาธารณะประโยชน์ เราสร้างคุณงามความดีมากเลย พอเราไปเกิดเป็นเทวดานะ โอ้โฮ.. เราก็เป็นเทวดาที่ดี เราจะบริหารเทวดา เทวดาจะมีความสุขกับเรา โอ้โฮ.. เพราะหัวหน้าที่ดีจะพาไปสิ่งที่ดีเลย

นี่สถานะในการเกิดนั้นเรื่องหนึ่ง จริตนิสัย เรื่องกิเลสนี้เรื่องหนึ่ง กิเลสเห็นไหม เช่นผู้นำของเรา ถ้าผู้นำของเรานะเป็นคนดี มีเมตตานะ เป็นคนมีปัญญานะ จะนำประเทศชาตินี้ไปเจริญรุ่งเรืองหมดเลย แต่ถ้าผู้นำเราไม่ดีนะ โอ้โฮ.. มันจะคดโกง มันจะทำอะไรไปนะ ประเทศไทยก็เสียหายหมดเลย มันอยู่ที่พื้นฐาน อยู่ที่จริตนิสัย ถ้าจริตเป็นคนไม่ดีแล้วมันแก้ไขได้ไหม? นี่ที่เรามาแก้ไขกัน ก็แก้ไขกันตรงนี้

ฉะนั้น เทวดา ภูต ผี นี่มีดีและไม่ดี ทุกสังคมมีดีและไม่ดี.. หลวงตาท่านพูดถึงว่าแม่ชีแก้วไปเที่ยวนรก ไปในนรกนะ ยังมีผีในนรกมันเกอีก เกว่าในนรก ในนรกแล้วยังมีกรงขังผีที่เกกว่าในนรกนั้นอีก

แม่ชีแก้วก็ไปเที่ยวนะ แล้วบอกว่า “นั่นอะไร”

“นั่นผี”

“ทำไมขังกรงไว้ล่ะ”

“โอ้โฮ.. ก็มันพาล มันรังแกเขาไปทั่วเลย”

ผีในนรกยังต้องเอาไปขังไว้อีก เพราะมันเลวกว่าเขาเยอะ

นี่พูดถึงว่า “พระภูมิ เจ้าที่มีดีและไม่ดีใช่ไหม”

ใช่! แต่ถ้าดีนะ เห็นไหม ที่เราทำดีกัน ทางโลกเขาส่งเสริมกัน เขามีพระภูมิเจ้าที่เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของเขา เพราะเป็นที่พึ่งของเขา นั่นมันเป็นวุฒิภาวะของเขา แต่กรรมฐานเรา พระเรานี่ไม่มี เพราะถ้าพูดถึงพระนะ พระนี่ถ้าถือนอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขาดจากไตรสรณคมน์! ขาดจากไตรสรณคมน์

สามเณรนี่ จะบวชเณรบวชเพราะอะไร บวชเพราะเณรต้องถือไตรสรณคมน์ก่อนใช่ไหม ต้องถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระเราต้องบวชเณรก่อน บวชเณรเสร็จแล้วต้องบวชพระ พระนี่โดยหลักวินัยเลย ถ้าถือนอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขาดจากสามเณรนะ ฉะนั้นกรรมฐานเราไม่มี เราถือธรรมวินัยอันนี้ ฉะนั้นเรื่องพระภูมิเจ้าที่อะไรนี่โลกเขาทำกัน แต่ในวัดเราไม่ทำ ไม่ทำเพราะว่าเราเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์สูงสุด อย่างอื่นเป็นรองหมด

ฉะนั้นอย่างอื่นเป็นรองหมดอันนี้เป็นอันหนึ่ง ฉะนั้นเรื่องพระภูมิเจ้าที่อะไร อย่างเทวดา พระภูมิเจ้าที่ เทวดาต้องเคารพไหม?

เรานี่ก็เป็นเทวดา! มนุสสเดรัจฉาโน มนุสสเทโว มนุษย์เป็นเทวดาก็ได้ มนุษย์เป็นสัตว์ก็ได้ มนุษย์เป็นพรหมก็ได้ มนุษย์เป็นได้หมดเลย.. มนุษย์นี่ ถ้าเรามีจิต มีหลักเกณฑ์อย่างนี้แล้ว เรื่องข้างนอกนะมันเป็นปัญหารอง แต่เพราะว่าเรื่องของเรา ในใจของเรามันเลื่อนลอย ในใจของเราไม่มีหลักอะไร เราเองนี่เราไปเจอจิตวิญญาณ เราก็เคารพบูชาไปทั่ว เราเคารพบูชาเพราะคิดว่าเขามีฤทธิ์มีเดชไปกับเราไง

ฤทธิ์เดชที่ดีที่สุด ฤทธิ์เดชคือกรรมของเรานะ ความดี ความชั่วของเรานี่ ฤทธิ์เดชที่จะทำให้เราดีหรือชั่ว ถ้าเราเคยทำสิ่งใดมา มันเป็นวิบากกรรมก็อีกเรื่องหนึ่ง

ฉะนั้นสิ่งที่ว่าพระภูมิและเทวดา มีดีและไม่ดีใช่ไหม? ใช่! ถ้าเจอดีจะดีมากๆ เพราะเทวดาที่ดีนะเขาก็อยากจะส่งเสริม อยากจะช่วยเหลือเจือจาน อยากจะทำ ดูสิดูอย่างที่หลวงตาท่านเล่า เห็นไหม พระเราอยู่ในป่าในเขา เดินจงกรมอยู่ เดินไปเดินมา อ้าว.. นั่นตออะไรอยู่นั่นน่ะ มองไป โอ๋ย.. เสือ อ้าว.. เสือ พอเสือขึ้นมานี่กลัวไหม กลัว ทีนี้พอกลัวขึ้นมาก็คิด เดินจงกรมไปก็คิดนะ

“เอ๊ะ.. เสือนี่ความจริงก็น่าจะไปหาอยู่หากินที่อื่นเนาะ ไม่น่าจะมาอยู่ใกล้เราเลย”

นี่ถ้าเป็นเสือเป็นสัตว์ มันจะรู้ความคิดเราไหม พอคิดอย่างนั้นปั๊บนะมันร้องเลย มันคำราม ฮึ่ม! ฮึ่ม! เลย ฉะนั้นพอคิดอย่างนั้น โอ้โฮ.. พอคิดอย่างนั้นเสือมันรู้แล้วนะ “เออ.. ถ้าเสือนะจะมารักษาความปลอดภัยให้ เสือจะมาช่วยดูแลปกป้องคุ้มครองให้ก็ไม่เป็นไร” เงียบเลย เห็นไหม

เราจะบอกว่า ถ้าเป็นเทวดา เป็นเทพ เสือเทพ เสือเทวดาก็เป็นอย่างหนึ่ง ถ้าเสือโดยสัญชาตญาณของเสือ เสือมันเป็นสัตว์มันจะรู้วาระจิตเราได้ไหม เราคิดอะไร เสือมันจะรู้กับเราไหม แต่นี่เวลาเราคิดอะไร ทำไมมันตอบสนองล่ะ พอคิดบอกว่า อู้ฮู.. เสือนี่น่าไปหาที่อยู่ที่กินที่อื่นเนาะ เพราะกลัวเสือ กลัวเสือ คิดดีโดยให้มันไปไง มันไม่ไป มันร้องเลย มันคำราม พอคำราม เพราะพระปฏิบัติมีสติแล้วมันดูแลจิตใจของตัว บอกว่า “ถ้าจะมาช่วยอยู่ปกป้องภัยอันตรายให้ต่อกันก็ไม่เป็นไร” เห็นไหม

ถ้าเทวดาที่ดี พรหมที่ดี เวลาครูบาอาจารย์เราปฏิบัติ มันจะมีสิ่งนี้ตอบสนอง แล้วเวลาคนที่ปฏิบัติ มีสติ มีสัมปชัญญะ ไม่ละเมอเพ้อพกหรอกว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น สิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น สิ่งที่สัมผัสกับเรา เราอยู่ในที่อัตคัดขาดแคลน หลวงปู่ชอบท่านมาจากพม่า เวลาหลวงปู่ชอบนี่เทวดาจะมาสัมผัสบ่อยมากเลย เวลาอยู่ที่พม่าใช่ไหม พออังกฤษมันยึดปั๊บ แล้วมันจะจับคนไทย เขาเอาไว้ไม่ได้เขาต้องส่งกลับมา หลวงปู่ชอบเดินจากพม่ากลับมาเมืองไทย ๓ วัน พอเดินมาถึงวันที่ ๓ ท่านสะท้อนใจไง

เวลาอยู่ปกติ เทวดาก็มาคุยมาสัมผัสกัน มาฟังเทศน์ฟังธรรมตลอด ตอนนี้จะตายแล้วนะ ตอนนี้จะตายแล้ว เทวดาไม่เคยคิดถึงเลย เวลาเทวดามาเอาประโยชน์ก็มาเอาประโยชน์ ท่านบอกเดินมานะ เดินมาๆ เพราะ ๓ วันไม่ได้กินข้าว มาถึงจุดหนึ่งปั๊บเห็นคนมายืนรอใส่บาตร โอ๊ะ.. ในป่ามีคนมารอใส่บาตรได้อย่างไร เพราะไม่มีบ้านคน

ฉะนั้นด้วยความหิวตาลายไง พอเขาใส่บาตรปั๊บถามว่า “โยมอยู่ที่ไหน” เขาก็ทำอย่างนี้ (ชี้นิ้วขึ้นไปข้างบน) แต่ก็ยังไม่ได้คิดนะ ฉะนั้นพอใส่บาตรเสร็จท่านก็ฉัน พอฉันแล้วข้าวมันแปลกๆ มันไม่เคยเห็นสภาพว่ามันจะดีได้ขนาดนี้ พอฉันเสร็จนะท่านคอยดูโยมคนนั้นไง เวลาเขาจะไปนะเขาเดินเข้าไปข้างต้นไม้ พอลับต้นไม้ไปก็หายไปเลย ด้วยความที่เราเป็นมนุษย์ใช่ไหม เราก็อยากเห็นเทวดา อยากเห็น พอลับต้นไม้ไปก็ไปเที่ยวหาดูว่าอยู่ที่ไหน ไม่มีแล้ว

นี้พูดถึงเทวดาดีไง พอโยมถามว่า พระภูมิ เจ้าที่ เทวดามีดีและไม่ดี เวลาถ้ามีดี เห็นไหม จะมาส่งเสริม พระเรานี่นะหลงทาง กำลังจะตาย ไม่มีอาหารกิน มาเป็นเทพบุตรมาใส่บาตรได้ นี่ไงเทวดาที่ดีเขาก็ปรารถนาสิ่งที่ดีของเขา แล้วพูดเรื่องเทวดา เรื่องพระภูมิอย่างนี้ แล้วเอาอะไรมายืนยันล่ะ พูดอย่างนี้อวดอุตรินะ!

ไม่ได้อวดอุตริหรอก จำขี้ปากครูบาอาจารย์มาพูด เพราะสิ่งนี้ครูบาอาจารย์ท่านเล่ามาเป็นประจำอยู่แล้ว เพียงแต่เหตุการณ์มันเข้ากันได้ พอเหตุการณ์มันเข้ากันได้ สิ่งนั้นมันเป็นความจริงในหมู่คณะของเรา

ฉะนั้น เทวดาที่ดีเขาก็จะมาส่งเสริม มาพัฒนา มาเตือนสติของคนที่หลงนอกลู่นอกทาง ให้ได้สติกลับมาเป็นตัวของเรา เพราะเขาต้องการบุญกุศลจากพวกเรา จากผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ทีนี้ถ้าเป็นเทวดาที่ดี แต่เทวดาที่ไม่ดีเขาก็ทำให้มาหลอกมาหลอน มาทำให้เราตกใจ ให้เรากลัว ให้เราต่างๆ ไป นี่พูดถึงเทวดาที่ดี ฉะนั้นเทวดาที่ดีและไม่ดีนี่มี

ฉะนั้นย้อนกลับมาที่ว่า แล้วต้นไม้ต้นใหญ่ต้นนั้นล่ะ นี่มันจะมีพวกสิ่งนี้มาไหม ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า ในปรมาณูหนึ่งมีจิตอยู่ ๓ ดวง ในอากาศนี้จิตเต็มไปหมดเลย แต่เราไม่สามารถเห็นได้ ฉะนั้นในต้นไม้ใหญ่ ในสถานที่ต่างๆ รุกขเทวดาก็มี

ในวินัยมีพระไปตัดต้นไม้ พอไปตัดต้นไม้รุกขเทวดาเขาอยู่บนต้นไม้นั้น เขาก็ไปฟ้องพระพุทธเจ้านะ บอกพระนี่มาทำลายบ้านเขา พระนี่จะตัดต้นไม้เพื่อจะไปสร้างกุฏิ แต่พระก็ไม่ได้คิดเลยว่าไปทำลายบ้านเทวดา ไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่า เออ.. ถ้าพระเขาไม่รู้ เขาไม่เห็นใช่ไหม มาทำลายบ้านของเธอนะ ฉะนั้นเธอไปอยู่บ้านหลังใหม่ ให้ไปอยู่ต้นใหม่

รุกขเทวดามี ทุกอย่างมี คำว่ามีนี่สามโลกธาตุซ้อนกันอยู่เรามองไม่เห็น เราไม่เข้าใจ แต่ถ้าเขาอยู่ในภพในชาติของเขา ในภพในภูมิของเขา เห็นไหม สัมภเวสีก็มี ทุกอย่างก็มี จิตวิญญาณมีไปหมดแหละ เราไม่สบประมาทใคร แต่เราก็ไม่งมงายที่จะต้องให้ใครมีอำนาจเหนือชีวิตเรา

พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น พระพุทธเจ้าสอนถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่จิตวิญญาณมันมี ของมันมี เราจะพิสูจน์ไม่ได้ด้วยตาเนื้อของเรา เราพิสูจน์เขาไม่ได้ แต่ถ้าหลับตานะ แล้วทำจิตสงบนะ โอ๋ย.. สว่างโล่ง รู้หมดเลย ถ้ารู้หมดแล้วนะอันนั้นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องอย่างนี้มันก็ไม่ได้ชำระกิเลสอะไรเลย แต่มันเป็นผลของวัฏฏะ เขาสร้างเวรสร้างกรรมของเขามา เขาถึงไปเกิดในสถานะอย่างนั้น

ถ้าสถานะอย่างนั้นนะ มันมีมาก เห็นไหม ที่ว่าเวลาเขาไปสถานะปู่โสมเฝ้าทรัพย์ เวลาเขาจะต้องจากการเฝ้าสมบัตินั้น เขาจะให้คนอื่นมาอยู่แทนเขา แล้วเขาจะได้ไปผุดไปเกิด มันก็มีของเขา สิ่งนี้มีเพราะมันเป็นเวรกรรมไง พอใจภพชาติอย่างนั้น พอใจสร้างภพสร้างชาติเอง แล้วไปเสวยภพเสวยชาติอย่างนั้น แล้วพอเบื่อหน่ายขึ้นมาก็จะทิ้งภพทิ้งชาตินั้นไป ก็ต้องหาของเขาไป

อันนี้เป็นเรื่องผลของวัฏฏะ ในกามภพ รูปภพ อรูปภพมันมีของมัน ฉะนั้นของอย่างนี้มันเป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นผลที่มันมีอยู่ ฉะนั้นพอเราไปเจอสิ่งใด เห็นไหม มีบางคนนะ เขาไปเที่ยวป่า แล้วเขาเที่ยวไปปัสสาวะ หรือเขาไปขับถ่ายโดยที่ไม่ถูกต้อง กลับมานี่มีปัญหาเลย พอมีปัญหาแล้วพามาหาเรา เราก็พยายามจะบอกให้เขาทำสติของเขาขึ้นมา ให้เขาทำอะไรของเขาขึ้นมา

สิ่งนี้มันมีได้ แต่มันมีได้อย่างนี้มันไม่ใช่ธรรมะ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น สัจธรรมของเราไม่ได้สอนอย่างนั้น สัจธรรมของเราสอนถึงทาน ศีล ภาวนา ทานคือการเสียสละ ทานคือการคิดถึงคุณงามความดี คือสังคมที่อยู่ร่มเย็นเป็นสุข สิ่งนี้มันเป็นแอ็กซิเดนท? มันเป็นสิ่งที่ใครกระทบได้เป็นบางคน สิ่งใดที่เวรกรรมมันให้ผล มันก็จะเป็นสถานะแบบนั้น แต่เรามีสติปัญญา ที่ไม่มีสติปัญญามันก็ไปเลย

ทีนี้มีสติ เห็นไหม พอมีสติปัญญานี่คิดถึงเหรียญหลวงตา ให้เหรียญหลวงตามาคุ้มครอง พอคิดถึงหลวงตานี่สติมันมี พอสติมีเราอยู่ที่สตินั้น.. สตินั้น เรามีคุณธรรมของครูบาอาจารย์เป็นที่เหนี่ยว จิตนี่นะถ้ามันมีอะไรที่เกาะ เราบอกว่าเราเป็นชาวพุทธ เรามีศาสนาประจำเรา นี่มีเพราะอะไร มีเพราะใจเราไม่เร่ร่อนไง

บางคนนะ วัยรุ่นอวดดี ไม่นับถือศาสนาอะไรเลย ไม่ถือใครเลย ไม่ถือใครแล้วมีอะไรล่ะ? ไม่ถืออะไรเลยก็มีอากาศไง เวลามีอะไรกระทบขึ้นมาฉันก็เร่ร่อนไง ฉันไม่มีที่พึ่งไง ถ้านับถือศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธคืออะไร? ก็ไม่รู้อีกแหละ

ศาสนาพุทธก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธศาสนา! พุทธศาสนาสอนเรื่องอะไร? สอนเรื่องสัจธรรม สอนเรื่องความจริงในชีวิตเรานี่แหละ ในชีวิตเรานี่เราเป็นได้ทั้งหมด เห็นไหม เราเป็นได้ทั้งเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เป็นเทวดาในปัจจุบันนี่สุคโต ปัจจุบันนี้มีความสุข ตายไปมันก็มีความสุข จิตเวลามันตายไปมันมีความสุขที่ไหนล่ะ มันก็เสวยภพเสวยชาติ แต่เวลาคนเรามันก็สร้างดีสร้างชั่ว มันก็เวียนไปในวัฏฏะ

ทีนี้เวลาจะตาย.. คำถามนี้มันมีอยู่ในคำถาม คำถามเรื่องเกิดตาย เดี๋ยวจะพูดอีกรอบหนึ่ง เดี๋ยวจะว่า แหม.. ตอบซ้ำๆ ซ้ำๆ กันอยู่นั่นล่ะ

ฉะนั้นอันนี้ถามว่า “พระภูมิ เจ้าที่ กับเทวดามีดีและไม่ดีใช่ไหม” ใช่ ถ้าเราไปเจอดีก็เป็นประโยชน์กับเรามาก ถ้าเราไปเจอไม่ดี เพราะว่าเขาไม่ดี เขาคนเกเรนั่นล่ะ เกเรแล้วก็มีฤทธิ์มีเดช เขาทำเราหัวปั่นเลย แต่ถ้าเราขอขมาลาโทษกับเขา เพราะประสาเรา เห็นไหม

“เวร ย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”

เพราะเราเป็นชาวพุทธไง เขาจะทำอย่างไรมันก็เป็นเวรเป็นกรรมของเขา สิ่งที่มีการกระทำนี้ เพราะมันมีเชื้อสาย มันมีสายบุญสายกรรมมา เราถึงจะมีเหตุการณ์สภาวะแบบนี้ ทีนี้ใครเจอสภาวะแบบใดให้ตั้งสติ ไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจอะไรเลย ชีวิตเราก็คือของเรานี่แหละ กรรมก็กรรมของเรามาเอง เราสร้างของเรามาเอง ฉะนั้นถึงปัจจุบันนี้เราก็แก้ไขของเราไปเอง

การแก้ไขนะ เวลาฟังครูบาอาจารย์ ท่านก็คอยบอก คอยชี้ คอยแนะ เป็นพี่เลี้ยงเราเท่านั้นแหละ เราจะเอาตัวรอดหรือไม่รอด มันอยู่ที่เราว่าจะเอาตัวรอดหรือไม่รอด ถ้าเราเอาตัวรอดได้นะ ในเรื่องการดำรงชีวิตของเรา เราก็ไม่โดนสังคมชักนำเราไป ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราก็จะถึงสิ้นกิเลส จิตนี้เราจะพ้นจากตัว พอสิ้นกิเลสไปคำถามนี้จะไม่มีความหมายเลย เพราะเรารู้เองเห็นเองในใจของเรา แต่ถ้าเรายังไม่รู้เองเห็นเอง เราก็ต้องถามไปก่อน

อันนี้พูดถึงเรื่องภพภูมิ จะตอบพวกนี้ไปเรื่อยๆ ก่อน

ถาม : หมอนรองคอที่ทำจากเม็ดโฟม คนถือศีล ๘ ใช้ดีหรือไม่ หรือจะต้องใช้หมอนที่ทำจากไม้ได้อย่างเดียว

หลวงพ่อ : ใช้ได้ ถือศีล ๘ นี่เขาห้ามเฉพาะนุ่นใช่ไหม ห้ามเฉพาะนุ่น นุ่นที่ฟูกไม่ให้ เพราะว่ามันสะดวกสบายเกินไปไง ฉะนั้นท่านให้ใช้เศษผ้า อย่างพวกเราใช้ฟาง ธรรมดาเขานอนกันอย่างนั้นเขามีความสุขนะ แต่สุดท้ายแล้วพอไปเจอกายภาพบำบัดเขาให้นอนกับกระดาน เขาให้นอนกับพื้นดีที่สุด

ฉะนั้นถ้าเรานอนกับพื้นดีที่สุด อันนี้พูดถึงว่าผิดศีล ๘ หรือไม่ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าพูดถึงว่ามันเป็นหมอนรองคอ อย่างใดก็แล้วแต่นะ คำว่าถือศีล ๘ บางทีเราก็แบบว่ามันเป็นสมัยพระพุทธเจ้าบัญญัติมา เห็นไหม ห้ามใช้ของหอม ห้ามใช้อะไรก็แล้วแต่ แต่คำว่าของหอมนี่มันหอมแค่ไหน พระบางทีกลิ่นเขาไม่ให้ใช้เลยนะ เวลาเริ่มต้นจากเคร่งเกร็ง แต่ถ้าเราคิดว่าสิ่งนี้มันเป็นส่วนผสม มันเป็นสบู่ใช่ไหม มันเป็นเรื่องการชำระล้างความสะอาด

อย่างเช่น เราพูดบ่อยนะ คนมาที่นี่เรื่องครีมกันแดด เราบอกว่ามันเป็นยา ถ้าครีมกันแดดเป็นยานี่เราใช้ได้ เราใช้เพื่อป้องกันไง เราไม่ได้ใช้เพราะความสวยงาม เราใช้เพื่อความป้องกัน การรักษา เราถือว่ามันเป็นยา คำว่าเป็นยานะอย่างเช่นพระฉันอะไรเป็นอาบัติ ฉันอะไรไม่เป็นอาบัติ อะไรถ้าเป็นยานี่ฉันได้ แล้วอะไรไม่เป็นยาบ้างล่ะ?

อ้าว.. ถ้าเป็นยานะ ถ้าเราเป็นหมอยานะ เราเป็นยาหมดแหละ เพราะว่าหมอชีวก เห็นไหม ไปศึกษากับอาจารย์ นี่จะลากลับบ้าน อาจารย์บอกว่าให้เข้าป่าไป ไปเก็บสิ่งที่ไม่ใช่เป็นยามาให้เรา ไปเดินอยู่วันหนึ่ง ไม่ได้เลย มันเป็นยาทั้งนั้น ไม่เป็นยาอย่างนี้ก็เป็นยาอย่างนั้น ไม่เป็นยาอย่างนั้นก็เป็นยาอย่างนี้ มันเป็นยา

ทีนี้คำว่ายานี่นะคือยารักษาโรค นี้เพียงแต่ว่าถ้าเราไม่รู้ว่าเป็นยาหรือไม่เป็นยา ด้วยความอยากเราก็อยากแก้หิว ถ้าอยากแก้หิวนี่มันไม่ได้ อันนั้นมันเป็นอาหาร เพราะมันสำเร็จแล้วมันเป็นอยู่ที่อาหารหรือไม่ใช่อาหาร ฉะนั้นถึงบอกว่าศีล ๘ ไง

ถ้าศีล ๘ ด้วยเจตนา ด้วยที่เราคิดว่าถ้ามันเป็นยา ทีนี้พอมันเป็นยาหรือไม่เป็นยา ถ้าเราไม่มีเหตุประเด็นขึ้นมาจะไม่มีการโต้แย้งกัน ไม่มีการถกเถียงกัน ทีนี้พอมีการถกเถียงกันปั๊บเราก็จะหวั่นไหว สำคัญตรงนี้นะ เราจะหวั่นไหวว่าเราทำความผิด เราตั้งใจทำความดี แล้วทำความผิดแล้วเราจะเป็นโทษอะไรนี่ อันนี้ถ้าเจอเรานะ เราพยายามจะพูดจากผิดให้ถูกให้ได้เหมือนกัน

ชักจากผิดให้ถูกให้ได้ มีข้ออ้างจนถูกแล้วกันแหละ ถูกเพราะอะไร ถูกเพราะแก้ความสงสัย แก้ความทุกข์ในใจอันนั้น ถ้าเรามีเจตนาที่ดี ทำสิ่งที่ดีนะ เพราะศีลธรรมไม่ฆ่าคน ศีลธรรมทำให้คนเป็นคนดี ทำให้คนอยู่ในหลักในเกณฑ์ สิ่งใดถ้าทำเป็นประโยชน์ได้ เราเป็นประโยชน์ได้ ไม่ใช่อ้างเล่ห์นะ

ถ้าการอ้างเล่ห์นั้นมันทำให้เราต่ำต้อยไปตลอดเพราะเราอ้าง ร้อนนักก็ไม่ทำงาน หนาวนักก็ไม่ทำงาน อ้างไปเรื่อย แต่ถ้าที่ไหนมีดนตรีก็อยากจะไปดู แต่เวลาที่ไหนเขาไม่ให้ไปก็อยากจะไป อ้างเล่ห์อย่างนี้ผิดตลอดนะ แต่ของใช้เพื่อการดำรงชีวิต ของใช้เพื่อความที่เราจะทำคุณงามความดีไปนะ

“หมอนรองคอที่ทำจากเม็ดโฟม คนถือศีล ๘ ใช้ได้หรือไม่” เราว่าได้ เม็ดโฟมเพราะเป็นหมอนนะ เป็นหมอน แต่ถ้าพูดถึงในศีล ๘ ที่หนุนด้วยฟูก หนุนด้วยนุ่นอย่างเดียวมั๊ง ถ้าเราจำไม่ผิดนะ นอกนั้นใช้ได้ ด้วยฟาง ด้วยเปลือกไม้ ด้วยอะไรต่างๆ ฉะนั้นกรณีนี้ในปัจจุบันถ้ามันเป็นว่ามันไม่สมควร ไม่สบายใจเราก็เอาออกซะ เราไม่ใช้มันก็จบ

นี้พูดถึงว่าหมอนรองคอนะ.. เอาล่ะ

ถาม : อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า ที่หลวงตาเทศน์ว่า “พระพุทธเจ้าจิตครอบหมื่นโลกธาตุ” เป็นอย่างไรหรือครับ

หลวงพ่อ : “จิตครอบหมื่นโลกธาตุ”

ธรรมของพระพุทธเจ้านี้กว้างใหญ่มาก ความจริงแล้วหมื่นโลกธาตุนี่นะเราว่ายังจะน้อยไปด้วย เพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนบุพเพนิวาสานุสติญาณนี่แสนแสนโลกธาตุ คำว่า “แสนแสนโลกธาตุ” คือย้อนอดีตชาติไปแล้วมันไม่มีวันจบสิ้น มันไม่มีวันจบสิ้น เห็นไหม ไม่มีต้นไม่มีปลาย

ฉะนั้นโลกธาตุหนึ่ง เวลาเราว่าโลกธาตุหนึ่ง.. เราเป็นมนุษย์ เห็นไหม โลกธาตุคือโลกทัศน์ นี่แกนของโลก โลกนี้มันอยู่ด้วยแกนของมัน ด้วยแรงแม่เหล็กของมัน จิต! จิตนี้มันมีภวาสวะ มีภพ สรรพสิ่งนี้มีเพราะมีเรา พอเราตายจากโลกนี้ไป เราตายไปอยู่ในสถานะใดก็แล้วแต่ โลกก็คือโลกมันอยู่อย่างนี้ ฉะนั้นโลกธาตุหนึ่งก็ชีวิตหนึ่ง ถ้าชีวิตหนึ่งมันเกิดตายกี่แสนล่ะ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขยนี่มันเท่าไหร่

ฉะนั้นคำว่าหมื่นโลกธาตุ เห็นไหม แสนโลกธาตุด้วย.. ทีนี้เราตีอย่างที่ว่ากัป กัปในพุทธศาสนา กัปเหมือนกับแท่งหิน เวลาแท่งหินยาวเท่าไหร่ แล้วถึงเวลานางฟ้าเอาผ้ามาเช็ดแต่ละหน กัปในพุทธศาสนา ๑๒๐ ปี ๑๒๐ ปีเท่ากับ ๑ กัป ถ้า ๑๒๐ ปีเท่ากับ ๑ กัป กัปหนึ่งคืออายุขัยหนึ่ง ฉะนั้นถ้ากัปแบบแท่นหินนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

อันนี้ก็เหมือนกัน คำว่าหมื่นโลกธาตุ หลวงตาท่านบอกว่า “พระพุทธเจ้าจิตครอบหมื่นโลกธาตุ” ยิ่งกว่านั้นนะ คือว่ามันรู้รอบหมด แล้วมันไม่มีสิ่งใดสงสัยเลย แล้วจิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นน่ะ พระพุทธเจ้าจิตครอบหมื่นโลกธาตุ.. เพราะพูดไปแล้วมันจะพันคอตัวเองไง บอกพระอรหันต์ไม่มีจิต แล้วมีจิตพระพุทธเจ้าได้อย่างไร? มีจิตก็มีภพ ฉะนั้นเวลาพูดนี่ พูดเพื่อเหตุใด พูดเพื่อปรารถนาสิ่งใด

เวลาพูดอย่างนี้เราพูดกันเพื่อเป็นบุคลาธิษฐาน พูดกันเป็นวิทยาศาสตร์ พูดเพื่อการสื่อความเข้าใจกันได้ ก็บอกว่าจิตพระพุทธเจ้าจำนวนเป็นอย่างนั้นๆ อย่างนั้นๆ แต่เวลาพูดเป็นปรมัตถ์ พูดด้วยการประพฤติปฏิบัติ ถ้ามีจิตก็มีภพ ถ้ามีจิตก็มีผู้รู้ ถ้ามีผู้รู้กิเลสมันก็ขี่ได้

ฉะนั้นเวลาพูดในปรมัตถ์นี่ไม่มี ต้องทำลายหมด เห็นไหม ทำลายอวิชชาทั้งหมด ทำลายความโลภ ความโกรธ ความหลงแล้วเข้ามาสู่จิต แล้วต้องทำลายจิต เพราะทำลายจิตไปแล้วมันจะมีจิตเหลือที่ไหนล่ะ มันก็ไม่มีจิตเหลือ พอไม่มีจิตเหลือ หลวงตาท่านพูดกับเด็กๆ ท่านบอกว่าจิตพระอรหันต์เป็นอย่างนั้นๆ อย่างนั้นๆ แต่พูดโดยปรมัตถ์ พูดโดยการประพฤติปฏิบัติ ถ้าพูดอย่างนั้น ที่ไหนมีจิตที่นั่นก็มีความรู้ใช่ไหม ที่ไหนมีจิตที่นั่นก็มีที่ตั้ง ที่ไหนมีจิตที่นั่นก็ต้องมีกิเลส ที่ไหนมีจิต กิเลสมันก็ขี้รดได้

ถ้าไม่มีจิต ไม่มีภพ ไม่มีต่างๆ กิเลสมันจะอยู่บนไหนล่ะ กิเลสมันจะอยู่บนอะไรล่ะ อ้าว.. เราไปยืนบนอากาศได้ไหมล่ะ ไม่มีสิทธิ เว้นไว้แต่จะต่อนั่งร้านขึ้นไป ไปยืนบนอากาศไม่ได้หรอก นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามีจิตที่ไหนมันก็มีภพ

ฉะนั้นถ้าบอกว่า พระพุทธเจ้าจิตครอบหมื่นโลกธาตุ อันนี้มันเป็นความรู้ความเห็น กับที่ว่าหลวงตาท่านพูดอย่างนั้น นี่เวลาเราเข้าไปถึงความละเอียดลึกซึ้งในศาสนา แล้วครูบาอาจารย์ของเรามีหูตาที่กว้างไกล ก็พยายามจะไปเอาความรู้ความจริงอันนั้นมาเผื่อแผ่พวกเราไง จะมาเผื่อแผ่ มาเทศนาว่าการ มาสั่งสอนพวกเรา เอาสิ่งนี้มาเจือจานเรา ถ้าเจือจานเรา พอเราฟังแล้วเป็นคุณธรรมมันก็จบไง

โอ้โฮ.. “พระพุทธเจ้าจิตครอบสามหมื่นโลกธาตุเป็นอย่างไร” นี่มันต้องตั้งทีมแล้ว ตั้งทีมทำหนังสารคดีไง แล้วเราก็ต้องเขียนเรื่องไง แล้วเราก็ต้องไปสร้างว่าหมื่นโลกธาตุเป็นอย่างไร จะทำหนังสารคดีมาฉายให้ดู (หัวเราะ)

นี่พูดเพื่อให้เห็นว่าความหมายเวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดขึ้นมา พูดเพื่อให้เราชื่นใจ พูดเพื่อให้เรามั่นคงในศาสนา มันจะเป็นประโยชน์กับเรานะ ถ้าประโยชน์กับเราเกิดขึ้นได้ มันจะเป็นประโยชน์กับเรามาก ฉะนั้นจิตครอบหมื่นโลกธาตุจริงๆ

ถาม : พระอรหันต์กับไม่อรหันต์ดูอย่างไร มีอะไรแบ่งแยก

หลวงพ่อ : พระอรหันต์กับไม่อรหันต์ มันแตกต่างกันอย่างไร ครูบาอาจารย์ก็พูดนะ เพราะมันมีอยู่ ถ้าครูบาอาจารย์นี่มันอยู่ที่จริต อยู่ที่มุมมอง อยู่ที่หัวใจ อยู่ที่ประสบการณ์ ครูบาอาจารย์หลายองค์ท่านบอกว่า “พระอรหันต์กับคนบ้าใกล้เคียงกันมากเลย”

คนบ้ามันขาดสติ มันทำอะไรตามสบายใจของมัน เราก็บอกว่าอู๋ย.. คนบ้านี่มีความสุขเนาะ มันอยู่ตรงสี่แยกนะ มันก็เก็บนู่นเก็บนี่ โอ๋ย.. มันอยู่มีความสุข มันไม่เคยอายใครเลย มันไม่มีอะไรเป็นกังวลในใจเลย มันน่าจะมีความสุขมาก.. ไม่ใช่ ความทุกข์มาก มันทุกข์จนไม่รู้ตัวมันเอง ทุกข์จนสตินี้ขาดเลย มีจิตอยู่แต่ไม่มีสติควบคุมใจของตัวเอง จนขาดสติ ทำอะไรโดยไม่มีต้นไม่มีปลาย ไม่มีขอบไม่มีเขต มันก็เหมือนกับเราปล่อยวาง ปล่อยวางหมดเลย ไม่มีอะไรเลย ถ้าปล่อยวางแบบนั้นมันก็อยู่สี่แยก

นี่พระอรหันต์ที่ไม่อรหันต์ เห็นไหม แต่พระอรหันต์กับคนบ้า คนบ้ามันไม่มีสติ แต่พระอรหันต์สติสมบูรณ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ พระอรหันต์นี่สติสมบูรณ์มากนะ สมบูรณ์มากทำไมหลวงตาท่านบอกว่าเผลอบ่อยล่ะ?

ไอ้เผลอนี่มันในขันธ์ ขันธ์นี่คือความรู้สึกนึกคิดมันเผลอได้ แต่ธรรมธาตุ ความเป็นพระอรหันต์นี่มันเป็นธรรมธาตุ แล้วธรรมธาตุนี้มันพ้นจากสามโลกธาตุ มันพ้นจากทุกๆ สิ่ง มันพ้นจากทุกๆ สิ่ง ไม่มีการไปและไม่มีการมา และไม่มีการเคลื่อนไหว ถ้าไม่มีการเคลื่อนไหวปั๊บ เวลามันจะขยับมา ขยับมาเพื่อจะสื่อ เห็นไหม

เราจะพูดเราต้องคิดก่อนไหม? เราจะพูดอะไรเราต้องคิดก่อนหรือเปล่า?

ต้องคิด เวลาจิตของพระอรหันต์มันจะขยับ นี่หลวงตาใช้คำว่า “จิตมันกระเพื่อม” ถ้าจิตมันไม่กระเพื่อมมันจะสื่ออะไรกับเราไม่ได้เลย พอจิตมันกระเพื่อม คำว่ากระเพื่อมคือการไหว การไหวนี่มีสติพร้อมไหม ถ้าไม่รู้ว่าไหว มันจะเป็นไหวได้อย่างไร ทีนี้พอมันไหวมันก็มีสติพร้อม ฉะนั้นพอมีสติ นี่ถึงบอกว่าว่าพระอรหันต์มีสติ ไม่มีเผลอหรอก สติสมบูรณ์มาก

ฉะนั้นสติที่สมบูรณ์แบบนี้กับคนบ้าต่างกันไหม? ฟ้ากับดินเลย คนละเรื่องเลยนะ พระอรหันต์สมบูรณ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย แต่คนบ้าก็ขาดสติ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย แต่ทำไมครูบาอาจารย์บอกว่า พระอรหันต์กับคนบ้าใกล้เคียงกัน เหมือนกันล่ะ?

มันใกล้เคียงกัน เหมือนกันเพราะว่ามันปล่อยวาง เห็นไหม พระอรหันต์ไม่มีอะไรค้างคาในหัวใจเลย แต่คนบ้านั้นไปอย่างหนึ่ง ฉะนั้น เราจะรู้ได้อย่างไรว่า “หันหรือไม่หัน”

ไม่มีทางรู้ได้เลย ไม่มีทาง จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่า “หันหรือไม่หัน” เว้นไว้แต่หันด้วยกันถึงจะรู้กัน ถ้าหันกับหันนะ ผลัวะ! เลย ถ้าอันหนึ่งหัน อีกอันหนึ่งไม่หันนะ ได้เสียกันเลย

หันนี่หันเพราะอะไร? ทำไมถึงหัน? ถ้าไม่มีเหตุมันจะหันได้อย่างไร? มันต้องมีเหตุสิ เหตุให้หัน แล้วถ้าไม่หันมันเอาอะไรมาเป็นเหตุล่ะ มันก็ไม่มีเหตุให้หัน ถ้าไม่มีเหตุให้หัน มึงจะพูดให้หันถูกได้อย่างไร ถ้ามึงไม่หันมึงจะพูดให้หันถูกได้อย่างไร เพราะมึงไม่มีเหตุ มึงไม่เคยสัมผัส มึงไม่เคยรับรู้อะไร มึงจะหันได้อย่างไร?

ถ้าหันไม่ได้ใช่ไหม หันไม่ได้กูก็พูดตามตำราไง พุทธพจน์ไง นี่ไงตำราบอกไว้อย่างนี้ไงอย่างนี้เป็นหัน อ้าว.. อย่างนี้เป็นหัน มึงไม่ต้องพูดก็ได้กูก็อ่านเป็น อ้าว.. กูถามมึงให้มึงพูด ไม่ได้ถามว่ามันมาจากไหน นี่ไงถึงบอกว่า ถ้าพวกเรานี่ไม่มีสิทธิรู้ได้เลยว่าหันหรือไม่หัน เพราะอะไรรู้ไหม นี่มีคนพูดมากเลย “เอ๊ะ.. ถ้าเขาไม่หัน ทำไมเขาพูดธรรมะสุดยอดเลย”

โอ้โฮ.. ธรรมะของพระพุทธเจ้าทำไมจะไม่สุดยอด พระไตรปิฎกนี่ โธ่! คำพูดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันสุดยอดอยู่แล้ว แล้วจำให้ดีแล้วเอามาพูด พูดเพราะอะไรล่ะ เพราะมึงไม่หัน มึงไม่หันมึงถึงต้องไปจำขี้ปากพระพุทธเจ้ามาพูด ถ้ามึงหันมึงก็ต้องหันมาจากหัวใจของมึง มึงต้องพูดธรรมะออกมาจากใจ ถ้าธรรมะออกมาจากใจ เห็นไหม แล้วใครจะมีวุฒิภาวะจับหันนั้นล่ะ?

อ้าว ก็ต้องหันด้วยกัน ถ้าหันมันฟังทีเดียวนะ โอ๋ย.. มึงไม่หัน ไม่หันเพราะอะไร เพราะมึงไม่มีเหตุมีผล มึงมาไม่ได้ มึงหันได้อย่างไร ถ้ามึงจะมาได้นี่ มึงผ่านขั้นตอนมาอย่างไรมึงถึงหัน

ฉะนั้นถึงบอกว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าหันหรือไม่หัน.. ถ้าจะเอาอย่างนี้นะ เพราะพวกเราคิดกันอย่างนี้ไง เราถึงเป็นเหยื่อ เพราะเราอยากหันกัน แล้วให้เขาจับให้หัน เขาก็จับเอ็งหันไปหันมา “อ๋อ.. มันหันอย่างนี้เอง” แต่มันไม่ใช่หัน มันเป็นการขยับให้ซ้ายหัน ขวาหัน นี่เรารู้ไม่ได้เพราะอะไร เพราะเราอยากรู้เลยไม่รู้ไง แต่ถ้าหันแล้วเขาไม่อยากรู้หรอก ไม่อยากเลย เพราะอยากนั่นมันคือไม่รู้แล้ว

ฉะนั้นเขาถามว่า “แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าหันหรือไม่หัน”

ไม่มีทางรู้ได้เลยนะ เพราะเราไปดูกิริยาจากภายนอก เราดูกิริยาที่นิ่มนวลอ่อนหวาน เราว่าอย่างนั้นหัน แล้วพอเราไปเจอกิริยาที่หยาบ ทีนี้พอหยาบใช่ไหม เราบอกว่าอย่างนั้นไม่หัน ในสมัยพุทธกาลมันมี เห็นไหม ที่พระอรหันต์ไปไหนพูดว่า “ไอ้ถ่อย ไอ้ถ่อย” เพราะติดเป็นนิสัยไง เจอใครก็ว่า “ไอ้ถ่อย” ไอ้ถ่อยนี่นะ.. พูดถึงสมัยพุทธกาลคำพูดเขานุ่มนวลมาก ไอ้ถ่อยนี่ประสาเราว่ายิ่งกว่านี้นะ ไอ้ถ่อยไปไหน

ทีนี้ชาวสวนเขาจะมาขายหัวปลีไง เขาเข็นรถมาใช่ไหม ก็ว่า “ไอ้ถ่อยจะไปไหน”

คนขายหัวปลีมันก็โกรธมากนะ ก็ว่า “ไอ้ถ่อย แล้วมึงไปไหน”

ว่าพระอรหันต์เข้าไปไง เข็นหัวปลีไปถึงแล้ว ไปเปิดหัวปลีออกมา หัวปลีกลายเป็นขี้หนูหมดเลย ด้วยความไม่รู้ใช่ไหมก็ไปปรึกษาเพื่อน เพื่อนบอกว่าเอ็งเดินมานี่เอ็งมีอะไรบ้าง ตั้งแต่เอ็งออกจากบ้านมา เอ็งมีประสบการณ์อะไรบ้าง.. ไม่มีอะไรเลย เว้นไว้แต่เจอพระองค์หนึ่ง เขาถามว่าไอ้ถ่อย ก็เลยโกรธเขาแล้วก็ว่าไอ้ถ่อยกลับไป เพื่อนบอกว่าเอ็งกลับไปขอขมาพระองค์นั้น

สมัยพุทธกาลคนมีปัญญา เห็นไหม นี่พ่อค้าคนนั้นก็กลับไปขอขมาพระองค์นั้น พอขอขมาเสร็จนะ จากขี้หนูกลายเป็นดีปลีอย่างเก่า นี่หันจริงๆ ของเขา เวลาหันจริงๆ กิริยาไม่เหมือนที่เราคาดหมายเลยนะ ไอ้ถ่อย! ไอ้ถ่อย! นั่นน่ะ ไอ้คนเข็นดีปลีจะมาขาย โทษนะ โอ๋ย.. พระต้องมีมารยาทสิ แหม.. พระเรียกกูไอ้ถ่อยได้อย่างไร กูก็ฉุนน่ะสิ กูก็ไอ้ถ่อยกลับไปเลย เท่านั้นก็ได้เรื่องเหมือนกัน.. หันไม่หันล่ะ? อันนี้หันหรือไม่หัน?

เราไม่รู้ว่ากิริยาอย่างนี้ พระอรหันต์ใช้กิริยาอย่างนี้หรือ? กิริยาที่ว่าไอ้ถ่อยๆ พระอรหันต์ใช้กิริยาอย่างนี้หรือ แล้วเวลาใช้ขึ้นมาแล้วหันจริงๆ ด้วย หันของแท้ด้วย เออ.. (หัวเราะ) ไอ้เราก็ต้องการหันที่ว่าแหม.. เป็นตุ๊กตาไง นิ่มๆ อันนั้นตุ๊กตาเวลาเขาเป่าตูด เวลาเขาเป่าขึ้นมานะตุ๊กตามันก็พอง เวลาเขาเปิดลมออก โอ๋ย.. ตุ๊กตาก็แฟบเลย

อ๋อ.. อย่างนี้หัน หันตุ๊กตาไง ชอบหันตุ๊กตากัน ถึงบอกว่ารู้ไม่ได้หรอก ไม่มีทางรู้ได้ แต่! หันกับหันนี่ทันทีเลยนะ พูดออกมาอ้าปากก็รู้เลยว่าหันหรือไม่หัน ถ้าหันพูดออกมานี่มันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน อย่างเช่นเราเป็นนักวิชาการที่มีความชำนาญ เราจะพูดสิ่งใดก็แล้วแต่มันอิงวิชาการนั้นตลอดเวลา มันไม่มีวันผิดหรอก แต่ถ้าเราไม่มีหลักวิชาการของเราเลย เราพูดอะไรเราก็พูดแต่ฟังเขาลือมา เราพูดไปโดยไม่อิงหลักเลย ไม่มีหลักถูกต้องเลย

แต่ถ้าหันนะ มึงจะพลิกซ้ายพลิกขวามันก็ยืนหลักของมัน ไม่มีพลาด พลาดไม่มี! เพียงแต่คนฟัง ฟังแล้วรู้หรือเปล่า ไม่มีสิทธิ ไม่มีสิทธิหรอก เพราะอะไร เพราะกูไม่หัน กูจะรู้ได้อย่างไรว่าหันเป็นอย่างไร แต่ถ้าหันนะ หันกับหันจะรู้กันได้อย่างไร? แล้วจะแบ่งแยกอย่างไร? แบ่งแยกด้วยวุฒิภาวะของใจ!

วุฒิภาวะนะ เรานี่เป็นปุถุชน นี่ถ้าภาวนาจะรู้เลยนะ ปุถุชนเป็นอย่างนี้ ปุถุชนนี้ไม่ต้องถามกันเลยนะ เรารู้หมดในหัวใจคิดอะไร ในหัวใจมันเหยียบย่ำเราอย่างไร ปุถุชนนี่รู้กันหมดแหละ หลวงตาพูดบ่อย ลองให้หันหน้าเข้าหากันนะ แล้วระบายความทุกข์ออกมา ทุกคนให้ระบายความทุกข์ออกมา มึงฟังไม่ทัน ทุกคนหันหน้าเข้าหากัน แล้วระบายเลยในใจมีอะไรบ้าง ทุกข์อย่างไรพูดออกมา ตกใจตายห่าหมดเลย

ปุถุชน! ปุถุชน! มีสติปัญญา ดูใจของตัว รักษาใจของตัว ปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา เห็นโทษของรูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ใครมีสติปัญญารู้เท่าทันรูป รส กลิ่น เสียงมันจะคิดเรื่องอะไร เพราะกูรู้เท่าหมดแล้ว รูป รส กลิ่น เสียงมันก็สักแต่ว่า ไม่เกี่ยวอะไรกับกู ไม่เกี่ยวอะไรกันเลย

อ้าว.. รูป รส กลิ่น เสียง ถ้ามีสติทันนะทุกคนจะควบคุมตัวเองได้หมดเลย นี่กัลยาณปุถุชน กัลยาณปุถุชนเพราะควบคุมจิตได้ดีขึ้น

ปุถุชนคนหนาควบคุมตัวเองไม่ได้ เร่ร่อนไปตามอารมณ์ ตามความรู้สึก โดนความรู้สึกนี่ฉุดกระชากลากไป แล้วความรู้สึกนี้เกิดเพราะอะไร เพราะรูป รส กลิ่น เสียง.. เขาว่า ได้ยินเสียง เห็นรูป ลิ้มรส เพราะต้องการ มันก็ไป นี่คนหนา วุฒิภาวะนี่ปุถุชน แต่ถ้าผู้ที่ไปประพฤติปฏิบัติทำใจให้สงบขึ้นมาได้ มันเป็นกัลยาณปุถุชน

ปุถุชนเหมือนกัน แต่ปุถุชนหนึ่งคนหนา ปุถุชนคนหนึ่งคนบาง ปุถุชนนี้เพื่อจะสร้างคุณงามความดี แล้วปุถุชนกับกัลยาณปุถุชนเป็นอย่างไรล่ะ ก็คนๆ เดิมนั่นแหละ เห็นไหม นี่บุคคล ๘ จำพวก จิตนี้มันพัฒนาได้ถึง ๘ ระดับ ตั้งแต่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล.. มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ แล้วไปอย่างไรล่ะ บันได ๔ ขั้นมันก้าวอย่างไร แล้วมึงเอาเท้าไปวางบนบันไดเหรอ?

อันนี้เป็นบุคลาธิษฐานระหว่างวุฒิภาวะของจิตที่มันก้าวขึ้น แล้วถ้าเอ็งก้าวขึ้นบันไดที่ ๑ เอ็งก้าวขึ้นอย่างไร บันไดที่ ๑ เป็นอย่างไร อะไรรองรับเท้ามึง นี่พูดถึงเท้านะ แต่ถ้าจิตล่ะ? จิตมันมีระบบของมัน มันพัฒนาขึ้นมาอย่างไร?

นี่วุฒิภาวะของใจ ไม่รู้ ไม่เห็นพูดไม่ได้ ไม่ได้หรอก! มีแต่จำมา พอจำมามันพูดโดยไม่อิงหลักไง ไม่อิงหลักวิชาการ ถ้าคนมีหลักวิชาการจะพูดให้ผิดมันก็ถูก แกล้งพูดให้ผิดมันก็ถูก เพราะพูดอย่างไรมันก็ถูกของมันอยู่ในใจนี่ แล้วคนฟังรู้

หลวงตาท่านพูดบ่อย เห็นไหม ท่านไปฟังพระ ดูพระ ท่านแค่พูดก็รู้แล้ว รู้แล้ว.. ถ้าจะรู้นี่รู้ แต่จะรู้ เราต้องฝึกเราให้มีวุฒิภาวะที่เราจะรู้ตัวเราได้ก่อน ถ้าวุฒิภาวะเรารู้เราได้แล้วนี่ เราจะรู้คนอื่นได้หมดเลย แต่ถ้าเราฝึกตัวเรารู้ขึ้นมาไม่ได้ ก็เราไม่รู้มันจะรู้ได้อย่างไร ก็เราไม่รู้ แต่ถ้ารู้แล้วนะสบายมาก สบายมาก

เราถึงบอกว่า อย่าหลอกกันนะว่า “หันหรือไม่หัน” (หัวเราะ) มีคนรู้จริงนะมึง หันหรือไม่หัน คนรู้จริงเขามี.. นี่พูดถึงหันก่อนนะ

ถาม : ศาสนาอื่นมีนรกไหม (ต่อหน้า ๒ ด้วยนะ) การทำดี ดีกว่าให้พรจริงหรือเปล่า

หลวงพ่อ : แน่นอน การทำดีดีกว่าให้พร ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

ถาม : ศาสนาอื่นมีนรกไหม

หลวงพ่อ : นรก สวรรค์ มีอยู่โดยดั้งเดิม โลกธาตุมีอยู่แล้ว กามภพ รูปภพ มีอยู่โดยธรรมชาติของมัน ไม่มีใครมาเสริมแต่ง ไม่มีใครมีการกระทำ โลกคือโลก จักรวาลคือจักรวาล สิ่งต่างๆ มีอยู่โดยดั้งเดิม ไม่มีใครเคยมาตกแต่งสร้างมันขึ้นมาเลย ของมันมีของมันอยู่อย่างนั้น แต่ไม่มีใครรู้ใครเห็น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา ถึงได้เห็นขึ้นมา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปรียบเหมือนพ่อแม่เรา แล้วห่วงพวกเราว่าจะตกนรกอเวจีเพราะทำความชั่ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปทำลายนรกหมดเลย จับนรกทำลายมันให้หมด ระเบิดทิ้งเลย ไม่ให้มีนรกให้จิตเราไปตกเลย

เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ทั้งสิ้น! ของมันมีอยู่แล้ว จะบอกว่าศาสนาอื่นจะมีนรกไหม? ศาสนาอื่นก็คนโว้ย ศาสนาอื่น ทุกๆ คน ทุกๆ มนุษย์ ทุกๆ ตัวสัตว์ มันเวียนตายเวียนเกิดในโลกธาตุ จะนับถือศาสนาพุทธหรือไม่ศาสนาพุทธไม่ใช่เรื่อง ความจริงคือความจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันทำของมัน มันต้องได้ของมัน แล้วทำความดีนี่พุทธศาสนา เพราะพุทธศาสนามีสมณะ มีเนื้อนาบุญ นี่ศาสนาพุทธ..

เราพูดอย่างนี้เขาบอกว่า “ทำบุญในพุทธศาสนา โอ้โฮ.. ร่ำรวย มีความสุข คนพุทธทำไมไม่เห็นมีความสุขเลย นอนร้องไห้ทุกคืนเลย ทุกคนมีแต่หนี้สิน ทุกคนมีแต่ความทุกข์ แล้วไหนว่าทำบุญแล้วได้บุญล่ะ?”

ทำบุญแล้วได้บุญเด็ดขาด บุญมันเกิดที่นี่ เห็นไหม ดูสิเวลาเราเทียบกันนะ ดูพระพุทธเจ้ามีปราสาท ๓ หลัง ยสะก็มีปราสาท ๓ หลังเหมือนกัน ถ้ามีความสุขแล้วทิ้งมาทำไม ทิ้งมาทำไม มาอยู่โคนไม้ทำไม แล้วกษัตริย์ในสมัยพุทธกาลเวลาอยู่โคนไม้ เวลาประพฤติปฏิบัติแล้ว พ้นจากทุกข์แล้วว่า “สุขหนอ สุขหนอ”

เวลาเป็นกษัตริย์ทำไมไม่บอกว่าสุขล่ะ ทำไมเวลาอยู่โคนไม้บอกว่าสุขล่ะ เราก็ปวดหัวเนาะ โอ้โฮ.. กษัตริย์อยู่บนบัลลังก์มันไม่มีความสุข เวลามาอยู่โคนไม้ดันมีความสุขเว้ย นี่มันมีความสุขเพราะมันรักษาใจได้ พอมันทำใจได้แล้วมันไม่มียึดเหนี่ยวสิ่งใด แล้วมันมีความสุขหมดแหละ

ฉะนั้นนี่พูดถึงว่านรก สวรรค์ มีหรือเปล่า? มันมี มีทั้งนั้นแหละ ทีนี้นรกเป็นอย่างไรล่ะ เวลาเขาพูดเสียดสีนะ เขาว่านามันรก ท้องนามันรก ก็จุดไฟเผาก็หมดแล้ว นารกไง นามันรก เขาไม่ได้บอกถึงนรกนะ เขาบอกว่านามันรก ถ้านามันรกก็จุดไฟเผาซะ

นี่เวลาคนเขาพูดเสียดสี เขาพูดอะไร เขาก็พูดของเขาไป นรกมันก็เป็นชื่อสมมุติเฉยๆ ถ้าศาสนาอื่น ลัทธิอื่น เขาก็พูดของเขาไปอีกชื่อหนึ่ง ภาษาสมมุติไง แต่ข้อเท็จจริงของเขา สถานที่มันมีของมันอยู่อย่างนั้น เพราะมันเป็นวัฏฏะ ผลของวัฏฏะไง พูดถึงถ้าไม่มีนะ ในพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าบอกท่านก็เคยตกนรก

จิตทุกดวงใจเคยตกนรก เคยอยู่บนสวรรค์ เคยอยู่บนพรหม เคยเวียนตายเวียนเกิดมาในวัฏฏะนี้ทุกดวงใจ เพราะถ้าย้อนอดีตชาติกันแล้ว ไม่มีจิตดวงใดเลยที่มีต้นมีปลายไง คือเราเกิดตายๆ มาทั้งนั้น เพียงแต่สถานะ เห็นไหม ดูสิเวลาญาติของเราตายไปนี่ไปไหน แล้วเรานั่งอยู่นี่ แล้วเราจะสืบต่อกันไปอย่างไร แล้วพอญาติตายไปแล้วอาจจะกลับมาเกิดเป็นลูกหลานในบ้านเราอีก อู๋ย.. ก็วนกันอยู่อย่างนี้ แล้วรู้ได้หรือเปล่าล่ะ เรารู้ได้หรือเปล่า เราก็รู้ไม่ได้ แต่จิตมันเป็นอย่างนั้น เพราะมันมีความสัมพันธ์กันมา มันมีความผูกพันกันมา มันมีอะไรกันมา

ในพระไตรปิฎกนะ มีผู้หญิงคนหนึ่ง สามีนี่รักภรรยามาก ถึงเวลาแล้วสามีนั้นตายไป พอสามีตายไป ด้วยความรักความผูกพันมาเกิดเป็นสุนัขอยู่ในบ้านนั้น เวลาเขาเดินไปไหนนะ สุนัขก็ตามไปด้วย ชาวบ้านก็ร้อง โอ๋ย.. มีสามีเป็นสุนัข มีสามีเป็นสุนัขนะ

มันก็จริงๆ เพราะสามีตายไปแล้วสามีมาเป็นสุนัขจริงๆ แต่พอชาวบ้านเขาร้อง ด้วยความอายไงเดินไปแม่น้ำนะ เดินไปลำน้ำ สุนัขก็ตามไปเพราะมันรักของมัน จับสุนัขกดเลย ด้วยความอาย สุนัขตายปั๊บมาเกิดเป็นตุ๊กแกอยู่ในบ้าน ด้วยความผูกพัน เห็นไหม

นี่จะบอกว่า ภรรยาอยู่ในชาตินั้น สามีนี่ ๓ ชาติแล้วนะ สามีเกิดตายๆ กับภรรยาของตัว ด้วยความผูกพัน ๓ ชาติ แต่ตัวภรรยาชาตินี้ยังไม่ได้ตายเลย แต่จิตของสามีไปเกิดไปตายในครอบครัวนี้ ๓ เที่ยวแล้ว นี่พูดถึงว่าการเวียนตายเวียนเกิดที่มันไม่มีต้นไม่มีปลาย เราเชื่อหรือไม่เชื่อนี้มันเป็นเรื่องของเรา เราไม่ได้พูดให้ใครเชื่อ แล้วไม่ได้อยากให้ใครเชื่อด้วย เพราะใครเชื่อแล้วมันชอบมาถาม อู๋ย.. กูตอบไม่ไหว ไม่เชื่อแหละดี แต่มันหมุนของมันไปอย่างนั้น

ฉะนั้น “เรื่องนรกในศาสนาอื่นมีไหม”

เราจะบอกว่ามันเป็นสากลไง มันมีของมันโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว เอ็งจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันเรื่องของเอ็ง แต่เอ็งทำดีและทำชั่วมันให้ผลกับเอ็ง เอ็งตายแล้วจะรู้ พอตายแล้วถึงตรงนั้นปั๊บ อ๋อ! รู้อย่างนี้ไม่ทำก็ดี รู้อย่างนี้ไม่ทำนะ โอ๋ย.. ไม่ทำมันก็มาถึงแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไร.. นี่ศาสนาพุทธสอนให้พวกเรามีหลักมีเกณฑ์ ให้พวกเราเป็นคนดี นี่พูดถึงทำให้ดีนะ

ทีนี้พูดถึงว่า “นรก สวรรค์มีไหม ศาสนาอื่นมีไหม”

กรณีอย่างนี้ถ้าเป็นคนที่ปฏิบัติ ถ้ามีหลักแล้ว เวลาของเรานี่พระอินทร์ เห็นไหม เขาเรียกพระอินทร์ แต่ในมหายาน ในเมืองจีน พระอินทร์นี่เขาเรียกเง็กเซียนฮ่องเต้ ฉะนั้นเวลาคนทำ เง็กเซียนฮ่องเต้นะ อ้าว.. ชื่อของเขา สมมุติของเขาไง

ฉะนั้นเวลาเราทำความสงบของใจ ถ้าเราเป็นคนจีนเรามีพื้นฐานอย่างนั้น ถ้าจิตเราสงบเราจะเห็นอย่างนั้น เราก็จะเห็นเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ แต่ถ้าเราเป็นคนไทย เราเป็นคนไทย เราเป็นเถรวาท เวลาจิตเราสงบเข้าไปถ้าเราจะเห็นพระอินทร์ เราก็จะเห็นพระอินทร์ โอ้โฮ.. แต่งชฎาทรงเครื่องเลย โอ้โฮ.. พระอินทร์เป็นอย่างนี้เว้ย ตัวเขียวๆ เลย อ้าว.. แล้วพระอินทร์กับเง็กเซียนฮ่องเต้มันต่างกันตรงไหนล่ะ?

นี่ไง สมมุติในใจมันต่างกัน ภาพที่เห็นมันก็ต่างกัน ให้เห็นให้เข้าใจได้ไง เพราะสิ่งนี้มา เขาก็จะสื่อกับเราให้เข้าใจได้ว่าอะไรคืออะไรไง แต่มันสมมุติต่างกัน แต่นรกสวรรค์เหมือนกัน เพราะว่าเง็กเซียนฮ่องเต้กับพระอินทร์ก็อันเดียวกัน แต่มุมมองความเห็นมันแตกต่างกัน

ฉะนั้นนี่พูดถึงสมมุตินะ แล้วเวลาจิตเราลงแล้ว มันไปแล้วนะ มันมีอีกมากเลย ฉะนั้นถ้ามันไม่มีหลักมีเกณฑ์นะ เวลาเจอคนถามอย่างนี้ การถามนี่หลวงปู่มั่นท่านพูดไง “การแก้ใจเป็นของยากนะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ” ท่านพูดถึงให้พระรีบภาวนามา ท่านจะได้แก้ไข

การแก้ใจคือจิตที่เราสัมผัส จิตที่เรารับรู้ เรารู้ของเราคนเดียว เวลาคิด เวลานึก เวลาไปสัมผัส ใครสัมผัสกับเรา เราสัมผัสคนเดียว ฉะนั้นเวลาเราพูดให้คนที่เขาไม่รู้เรื่องฟังกับเรา ความสัมผัสเราไปพูดให้เขาฟัง นี่เขาฟังไหม? แล้วฟังเข้าใจไหม? แต่ถ้าครูบาอาจารย์เราผ่านมาแล้วนะ “มึงพูดมา มึงพูดมาเลย ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ! ผู้เฒ่าจะแก้ ผู้เฒ่าจะแก้” มันไม่มีให้แก้น่ะสิ เห็นไหม

นี่พูดถึงพวกเราเกิดมามีวาสนามาก ฉะนั้นเรื่องความสัมผัสของใจ มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นความเห็นจากภายใน ภายในเรามีครูบาอาจารย์แล้วนี่ แหม.. โชคลาภวาสนานะ แต่ไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น แล้วคนนะ ดูสิสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา อะไรที่ว่า ๒ คนเดินผ่าน

“ใครเป็นศาสดาของเธอ”

พระพุทธเจ้าบอก “เราตรัสรู้เองโดยชอบ” .... ฮื่อ... มันส่ายหัวไปเลย มันไม่เอา

อันนี้ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ นี่จานอะไร จานกระเบื้องหรือเปล่า จานแตกด้วย ไอ้อย่างนั้นมันก็เป็นกรรมของเรา เพราะเราพูดให้ศรัทธา ให้เขาเชื่อ เขาต้องมีปัญญาไง กาลามสูตร อย่าให้เชื่อครูบาอาจารย์พูด อย่าให้เชื่อใครทั้งสิ้น เชื่อสิ่งที่ประสบการณ์ นี่ที่เราพูดนี้แล้วให้ไปคิด โอ๋ย.. หลวงพ่อนี่โม้เก่งมากเลย หลวงพ่อขี้โม้หรือเปล่าวะ เอ็งกลับไปคิด ไปใคร่ครวญ อันนั้นจะเกิดปัญญานะ

พอเราคิด เราวิจัยใช่ไหม จริงหรือไม่จริง เราพยายามไปค้นคว้าของเรา โอ้โฮ.. ปัญญามันจะเกิด นั่นล่ะปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาจะอบรมจิต ปัญญาจะอบรมซักฟอกให้จิตเราเข้มแข็ง ให้จิตเรามีปัญญาขึ้นมา.. คิด! อย่าเชื่อ ฟังแล้วกลับไปคิด

 

ถาม : ๑. จิตตอนตาย ส่งผลถึงคนที่จะไปเกิดใหม่ จริงหรือไม่ครับ

หลวงพ่อ : “จิตตอนตาย ส่งผลถึงคนที่จะไปเกิดใหม่ จริงหรือไม่ครับ”

แล้วใครตาย? แล้วใครเกิดล่ะ? เออ.. เพราะคำถามนี้ มันคิดว่าคนเกิดและคนตายคือคนละคนไง อ้าว.. จิตของคนตาย กูตายใช่ไหม กูจะตายแล้ว เอ็งจะไปเกิดก็ไปสิไม่เกี่ยวอะไรกับกู แล้วมันจะมีผลไหมล่ะ มันก็ไม่มีใช่ไหม แต่ความจริงมันไม่ใช่ จิตตอนตายก็คือจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นตายไป ก็คือจิตดวงนั้นที่ไปเกิด

จิตมีหนึ่งเดียว! จิตดวงที่ตายพอมันเคลื่อนออกจากภพนี้มันก็ได้สถานะใหม่ เป็นโอปปาติกะ เห็นไหม กำเนิด ๔ เกิดในครรภ์ เกิดในไข่ เกิดในน้ำคร่ำ เกิดในโอปปาติกะ มันเป็นผีมันก็เป็นโอปปาติกะ มันเกิดเป็นผีเลย เกิดเป็นสัมภเวสี เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นอินทร์ เกิดเป็นพรหม เกิดในครรภ์ เกิดในไข่ จิตจะเกิดทันที

ไม่ใช่ว่า “จิตตอนตายส่งผลกับคนที่ไปเกิดหรือเปล่า” คนที่ไปเกิดคนไหนวะ! มีคนหนึ่งและคนสองด้วยหรือ มันก็มีคนๆ เดียวนี่แหละ มันมีจิตดวงเดียวนี่แหละ จะเกิดเป็นอะไรล่ะ จะไปเกิดเป็นเทวดามันก็เป็นเทวดา ทีนี้พอเกิดเป็นเทวดาแล้วเขาบอกว่า เกิดเป็นเทวดาแล้วจะเป็นญาติเราได้อย่างไรล่ะ โอ้โฮ.. ญาติเราไปเกิดเป็นเทวดา เราจะรู้จักญาติเราได้อย่างไรล่ะ?

ได้! เวลาเทวดาจะสื่อกับเรา ถ้าญาติเราไปเกิดเป็นเทวดา เวลาเขาจะสื่อกับเรา เขาเป็นเทพบุตรมา เขาก็จะบอกว่า นี่ไงกูเป็นคนนั้นที่ตายไป เอ็งจำกูได้ไหม เอ็งจำกูได้ไหม? เพราะอันนี้มันเป็นบุคลาธิษฐาน มันทำได้ ฉะนั้นพอทำได้นะ มันเป็นคนๆ นั้นแหละ มันเป็นจิตดวงหนึ่ง

ไม่ใช่ว่า “จิตตอนตายมีผลส่งไปกับจิตคนที่จะไปเกิดใหม่จริงหรือไม่” โอ้โฮ.. ถ้าตอบอันนั้นก็จะกลายเป็น ๒ คน ๓ คนเลยนั่นล่ะ กลายเป็น ๒ คน ๓ คนเลย จิตดวงเดียว

ไม่ใช่.. จิตหนึ่งเดียว แต่เกิดตายในวัฏฏะ ไม่มีต้นและไม่มีปลาย มหัศจรรย์มาก นี่ศาสนาตอบตรงนี้หมด ศาสนาตอบถึงจิต ตอบถึงการเกิดและการตาย ศาสนาไม่ใช่ลัทธิ ถ้าไอ้พวกตอบไม่ได้นั่นคือลัทธิความเชื่อ แต่ศาสนาไม่ใช่ลัทธิ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาความจริง มีเหตุมีผลทุกอย่างพร้อม

ฉะนั้นจิตตอนตายนี่ เวลาคนโบราณเขาบอกว่า คนแก่ให้นึกพุทโธ พุทโธ พุทโธ เห็นไหม ให้นึกถึงพุทโธไว้ ให้นึกถึงพระไว้ เวลาคนแก่สมัยโบราณจะให้นึกถึงพระไว้ตลอดเลย ใครจะเป็นอะไรให้นึกถึงพระไว้ เพราะอะไร เพราะนึกถึงพระมันนึกถึงสิ่งที่ดีที่สุดไง นึกถึงพระคือนึกถึงพุทธะ นึกถึงพระคือนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราตายไปพร้อมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เขาบอกคนตายมีพระนำ เวลามันเอาพระนำ อันนั้นมันเป็นประเพณีวัฒนธรรม

แต่ความจริงเวลาจิตตอนตายให้นึกถึงพระ มันจะนึกถึงความดีของมัน จิตจะเป็นจะตายนี่นะ เวลาถ้าคนมันมีกรรมมากมันนึกไม่ออกหรอก สังเกตได้ไหมสมัยโบราณเวลาคนทำกรรมไว้มากๆ เวลาตายมันออกท่านั้นเลย บางคนยังไม่ทันตายนะ กำลังจะตายออกท่าเป็นสัตว์แล้ว เยอะแยะไป พอออกท่าเป็นสัตว์เพราะอะไรล่ะ เพราะใจมันทำ

พูดแล้วมันจะขาย กรรมนิมิต เวลาคนจะตายถ้ามันเกิดนิมิต กรรมนิมิตมันฟ้อง เวลาบางคนบอกว่ากำลังจะหมดอายุขัย เวลาตัวเองอยู่ปกติ เวลาฝันหรือไปเห็น มันจะเห็นเป็นผู้ชายกำยำ นุ่งผ้าแดง ถ้าคนเห็นอย่างนั้นนะใกล้เวลาแล้ว กรรมนิมิตมันบอกเลยนะ แต่คนฝันไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าคนมีกรรมหนักๆ มันเป็นนะ มีคนมาเล่าให้ฟังเยอะมาก เขาบอกว่าเขาเล่นไก่ เขาชนไก่ เวลาเขาใกล้ตายนะทำมืออย่างนี้ เลือดนี่โชกไปหมดเลย จนญาติดึงออก เอาเชือกผูกไว้ก็ไม่อยู่นะ เวลาใกล้ตายมันเอาหัวแม่มือ ๒ แม่มือชนกัน ชนกันอยู่อย่างนั้นแหละ เลือดนี่แดงไปหมดเลย บางคนมีอาการออกเป็นสัตว์ เป็นอะไรต่างๆ

นี่พูดถึงถ้ากรรมหนักมันออกอาการอย่างนั้น เขาเรียกกรรมนิมิต.. แล้วถ้าอย่างนั้นให้นึกถึงพระได้ไหม? ถ้าอย่างนั้นให้นึกถึงพระได้หรือเปล่า? มันนึกไม่ได้เพราะอะไรล่ะ นี่ไงทานไง ทาน ศีล ภาวนาไง ทาน ศีล ภาวนา พระพุทธเจ้าสอนไว้ ให้เราวางรากฐานให้หัวใจเรามั่นคง ให้หัวใจเรามีหลักที่พึ่ง ให้หัวใจของเราเวลาใกล้ตายมันจะได้ไม่ต้องเป็นอย่างนั้นไง

มันมีพร้อมตั้งแต่ก่อนจะตายไง มันมีพร้อม มันฝึกของมันมา มันทำของมันมา ไม่ต้องให้คนมาสอนว่าใกล้ๆ ตายนึกถึงพระนะ นึกถึงพระนะ ไม่ต้องบอกกูหรอก กูทำพุทโธมาตั้งแต่เด็ก ไอ้นี่พอจะตายแล้วค่อยมานึกถึงพระนะ แล้วก่อนตายล่ะ ก่อนตายกูไปปล้นเขาไง ก่อนตายกูเพิ่งตีหัวเขามา แล้วตอนนี้ให้มานึกถึงพระ มันก็เลยนึกไม่ออกไง

เราต้องฝึกของเรา พูดไปเรื่อยๆ เนาะ ถ้าเลิกก็จะเลิกไปเลยล่ะ.. อันนี้พูดถึงจิตตอนตายนะ เขาเรียกว่าต้องฝึก เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์สอนว่า “ฝึกตายตั้งแต่ก่อนตาย” ถ้าเราไม่ฝึกเลย เราไม่ทำอะไรเลย ศาสนานี้ก็เหมือนกับล้วงเบอร์ไง ถึงเวลาก็จะไปล้วงเอานะ ศาสนาใครศาสนามันโว้ย กูจะล้วงเบอร์เอา

ไม่ใช่ ต้องฝึกหมด ต้องมีการกระทำหมด ไม่อย่างนั้นเขาจะมาอยู่วัดกันทำไมล่ะ ที่เขามาอยู่วัด เห็นไหม ดูสิเขาไปเที่ยวเล่นสนุกเพลิดเพลิน โอ้โฮ.. มาอยู่วัดนะตากแดดตากฝน โอ๋ย.. มีความสุขอะไร แต่ถ้ามันสงบ ถ้าจิตมันลงได้มันจะฟ้อง มันจะรู้ของมัน

ถาม : ๒. ขอพรให้สมหวังเวลาไปไหว้พระ มีประโยชน์หรือไม่ครับ

หลวงพ่อ : อันนี้เขาเรียกว่า “อธิษฐานบารมี” บารมี ๑๐ ทัศไง พระพุทธเจ้าอธิษฐานว่าเป็นพระโพธิสัตว์ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ อธิษฐานว่าขอเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา แล้วสร้างบุญกุศลไป

ทีนี้เวลาไปกราบพระ เราอธิษฐาน มันก็เหมือนกับเราตั้งเป้า ถ้าเอ็งตั้งเป้าแล้วเอ็งนอนอยู่บ้านเอ็งก็ไม่ได้เป้า ถ้าพระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา แต่ถ้าไม่ได้ทำมามันก็ไม่ได้ถึง ฉะนั้นการไปกราบและขอพรมันก็เป็นประโยชน์ตรงนี้ เป็นประโยชน์ตรงที่ว่าเรามีการบังคับตัวเอง เราจะทำตัวเองให้เป็นประโยชน์

ถาม : ๓. การบวชส่งผลบุญถึงพ่อแม่จริงหรือ

หลวงพ่อ : ฟังนะ! การบวชส่งผลบุญให้พ่อแม่จริงหรือ? เออ.. จริงหรือเปล่าล่ะ? ถ้าเราเป็นชาวพุทธ เถรวาท เห็นไหม มันเป็นความจริง แล้วเราทำได้ประโยชน์มาก แต่ถ้าเป็นศาสนาอื่น เป็นลัทธิอื่นนะ พ่อแม่เขาก็อยากให้ลูกอยู่กับเรานี่แหละ บวชก็บวชเป็นประเพณี

การบวชนะได้บุญกุศลกับพ่อแม่มหาศาล เพราะจริงๆ การบวชคือพ่อแม่บวช ถ้าพ่อแม่ไม่คลอดเรามา เลือดเนื้อเชื้อไข เพราะพ่อแม่คลอดเรามา เลือดในอกของพ่อแม่มาค้ำจุนศาสนา เวลาเกิดสงครามเขาเกณฑ์ทหาร เขาเกณฑ์ไพร่พล แล้วถ้าใครไพร่พลมากกว่าไปฝึกได้ เขาจะป้องกันประเทศชาติของเขาได้ คนที่มาบวช ๑ พรรษา ๒ พรรษา ๓ พรรษา เหมือนกับเข้ามาค้ำจุนศาสนาไว้เหมือนกับไพร่พลนั้น

คนที่เข้ามาบวชในศาสนามาศึกษาศาสนา เหมือนกับมดแดงมันเฝ้ามะม่วงไว้แต่มันไม่ได้กิน แต่ถ้าใครประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแล้วนะ มันเป็นมดแดงแล้วมันจะได้กินมะม่วงนั้นด้วย ฉะนั้นมาบวชนี่พ่อแม่ได้บุญแน่นอน เพราะว่าลูกเต้าเข้ามาค้ำศาสนานี้ไว้ ปฏิบัติได้หรือไม่ได้นั่นอีกเรื่องหนึ่ง

ฉะนั้นเวลาลูกบวชออกจากโบสถ์พ่อแม่ได้ ๑๖ กัป เพราะศาสนานี้พระพุทธเจ้ากว่าจะได้มานะ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย กว่าพระพุทธเจ้าจะรื้อค้นศาสนานี้มาได้ แล้วพระพุทธเจ้า ๘๐ ปีแล้วนิพพานไป วางธรรมและวินัยไว้ให้พวกพระเราได้ประพฤติปฏิบัติ ให้พระเราได้มีการกระทำ ถ้าพระปฏิบัติขึ้นมา ครูบาอาจารย์ปฏิบัติขึ้นมา นี่หันต์จริงแล้วขึ้นมา จะสอนลูกศิษย์ได้มหาศาลเลย

ฉะนั้นเรามาบวชนี่พ่อแม่ได้ แล้วคนที่มาบวชแล้วพ่อแม่ไม่ได้ ไม่ได้ก็มาค้ำจุนศาสนา ดูสิประเพณีทางเหนือ เห็นไหม เขาค้ำโพธิ์ เขาเอาไม้ไปค้ำทำไมเขาได้บุญล่ะ แล้วเราเอาชีวิตเรามาค้ำ ชีวิตเราทั้งชีวิตเลยเหมือนไม้ค้ำโพธิ์นั่นล่ะ ทางเหนือเขาเอาไม้ค้ำโพธิ์ไปค้ำใช่ไหม เขาว่าได้บุญมากเลย เพื่อให้ศาสนามั่นคง แล้วเราก็เอาชีวิตเราทั้งชีวิตเลยมาค้ำพุทธศาสนาได้บุญไหม?

มันได้อยู่แล้ว! เพียงแต่เราบอกว่าบุญมันคืออะไรไง โอ๋ย.. บวชมาแล้วก็ไม่ทำอะไรเลย บวชมาแล้วก็นั่งกินนอนทั้งวัน แล้วบุญมันมาจากไหนล่ะ ก็มันมาจากเอ็งไม่ภาวนาไง เอ็งไม่ภาวนา บุญก็ได้แค่นั้นแหละ ถ้าเอ็งภาวนาขึ้นมา บุญมันก็ตามมาด้วย

เวลาเราบวชเรามาจากโบสถ์แล้วนะ พ่อแม่ได้ ๑๖ กัป แต่บุญกุศลที่มันจะเกิดขึ้นมา เราต้องทำขึ้นมา มันจะเกิดกับเราขึ้นมาอีก ถ้าเราไม่ทำขึ้นมานะมันก็ได้จากต้นทุนไง ต้นทุนเกิดจากประเพณีวัฒนธรรม ประเพณีชาวพุทธ เห็นไหม ลูกหลานให้มาบวช เราก็มาบวชตามประเพณี นี่ดีนะประเพณีบังคับมา ถ้าประเพณีไม่บังคับมา โอ๋ย.. ไม่มาหรอก

แล้วก็ว่าบวชแล้วได้อะไรวะ มันได้ที่เราไปค้ำ ค้ำอริยสัจ ค้ำทฤษฏี ค้ำข้อเท็จจริงของพระพุทธเจ้าไว้ เราเข้ามาเราก็มาสืบค้นกัน เราเข้ามาเราก็มาดูแลกัน คนเวลาเข้ามาเขาว่าไปวัดแล้วต้องไปกวาดวัดนะ ไปวัดต้องไปล้างส้วม ไปขัดวัด ไปดูแล นั่นล่ะเข้ามาช่วยทำความสะอาด ถ้าไม่มีใครมาช่วย พระไตรปิฎกอยู่ในตู้ไม่มีใครทำเลย เอ็งมาบวชมาพอดีเลย ทางวัดเขากำลังจะเปิดทำความสะอาด อ๋อ.. ได้บุญเลย

เพราะพระไตรปิฎกนั้นมันเป็นธรรมของพระพุทธเจ้าที่เขาสืบทอดกันมา แล้วเอ็งก็ได้มาทำความสะอาด เอ็งได้มาดูแลรักษา เอ็งได้บุญหรือยัง? กูได้ดูแลรักษาแต่กูอ่านไม่ออก กูอ่านไม่ได้ ก็ไม่ได้อีก อันนี้แค่อ่านเฉยๆ นะ เวลาปฏิบัติไปจิตเป็นสมาธิ เวลาจิตเกิดปัญญา นั่นทฤษฏีบอกไว้อย่างนั้น แต่ความรู้กูเกิดอย่างนี้ โอ้โฮ.. สุดยอดเลย

ได้บุญไหม.. ได้! ได้บุญแน่นอน

ถาม : การนั่งสมถกรรมฐานอย่างเดียว ถึงนิพพานได้หรือเปล่า

หลวงพ่อ : เวลานั่งกรรมฐานไป อย่างที่พูดเมื่อกี้จะมีครูบาอาจารย์สอน ฉะนั้นเวลาพูดอย่างนี้นะ เพราะพื้นฐานใช่ไหม การนั่งสมถกรรมฐาน เขาบอกว่า “สมถะเป็นวิปัสสนาไม่ได้ สมถะไม่เกิดปัญญา ไอ้พวกนั่งสมถะมันไปถึงนิพพานไม่ได้ มันไปไม่ได้”

แล้วเอ็งเคยไปนิพพานหรือเปล่าล่ะ? เอ็งก็ไม่เคย พอเอ็งไม่เคยแล้วเอ็งว่าทำอย่างอื่นแล้วจะไม่ได้ไปนิพพานหรือ? (หัวเราะ)

สมถะไปนิพพานไม่ได้ แต่ในสมถะก็มีกรรมฐาน ถ้าเอ็งไม่มีปัญญาเลยเอ็งจะทำสมถะได้อย่างไร เอ็งต้องมีปัญญา ถ้าไม่มีปัญญานะพอนั่งไปก็สัปหงกแล้ว พอนั่งไปก็หัวทิ่มพื้นแล้ว เพราะไม่รู้จักวิธีแก้ไข ไอ้วิธีแก้ไขมันเป็นปัญญา ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมา ปัญญามันไตร่ตรองขึ้นไป พอเกิดปัญญาขึ้นมา เกิดจากสมถะ เกิดจากสมาธิมันก็เป็นมรรค พอเป็นมรรคมันก็เข้ามา นั่งสมถะอย่างเดียวจะถึงนิพพานได้ไหม?

พอนั่งสมถะอย่างเดียว พอเกิดปัญญาขึ้นมามันต้องพลิกแพลงแก้ไข เกิดมาตอนเด็กๆ พ่อแม่บดกล้วยให้กิน แล้วตอนนี้ทำไมไม่กินกล้วยบดล่ะ เพราะโตแล้วเว้ย พอโตแล้วกูก็ไม่กินกล้วยบดแล้ว เด็กๆ นี่กล้วยบด แหม.. กินแล้วอร่อยลูก กินแล้วอร่อย.. สมถะก็เหมือนกัน! สมถะมันก็เริ่มต้นจากการฝึกหัดขึ้นมา พอโตขึ้นมามันก็ไม่กินแล้วกล้วยน่ะ กูจะกินหูฉลามน้ำแดงนะเว้ย

นี่ก็เหมือนกัน พอมันปฏิบัติขึ้นไป มันก็เก่งขึ้นไป มันก็รู้ขึ้นไป พอมันรู้ขึ้นไปมันก็เป็นนิพพานได้ ทำไมจะไม่ได้ เขาบอกว่า “มันไม่ได้ เป็นสมถะมันไม่มีปัญญา มันไปไม่ได้..”

ก็มึงมันโง่ เป็นสมถะแล้ว เดี๋ยวมันก็พัฒนาขึ้นมาแล้ววิปัสสนามันจะเป็น คนทำเป็นมันเป็นได้ เวลาพูดอย่างนี้นะปฏิเสธเมล็ดพันธุ์พืชไง จะเอาต้นมัน มึงไม่มีเมล็ดมึงจะเอาอะไรไปปลูก ต้นไม้ก็มาจากเมล็ดเว้ย เออ.. เอาเมล็ดไปเพาะไปปลูกมันก็เป็นต้นไม้ขึ้นมา สมถะแล้วเดี๋ยววิปัสสนามันก็เกิดได้ ถ้าคนเป็น ครูบาอาจารย์เป็น เดี๋ยวจะพาไป เอ็งทำสมถะมาเถอะเดี๋ยวอาจารย์จะเอาเปลมารับมึงไปเลย ไปนิพพาน (หัวเราะ)

ไปได้ มันเป็นขั้นตอนที่เราต้องทำไป แต่ถ้าเราไปปฏิเสธ นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้นะ กลับบ้านเถอะ เราไปนอนเล่นกันดีกว่า อันนั้นน่ะได้ ได้เวลาเราเลิกไง อะไรก็ไม่ทำกูอยู่เฉยๆ นี่ได้ แต่ทำดี นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้

“การนั่งสมถกรรมฐานอย่างเดียว ถึงนิพพานได้หรือเปล่า” ได้! ได้ต่อเมื่อเราแก้ไขพลิกแพลง จากสมถกรรมฐานเป็นวิปัสสนากรรมฐานเริ่มต้นไป เขาบอกว่า “อ้าว.. ก็ใช้ประโยชน์นาม รูปมันเป็นวิปัสสนากรรมฐาน สมถกรรมฐานไม่ต้องไปใช้มัน”

ต้นไม้ที่มันตายแล้วนะ เอามาปักไว้เลยให้มันเกิด ดูซิมันจะเกิดไหม กูอยากดู ท่อนซุงเอามาปักแม่งเลย เดี๋ยวท่อนซุงมันจะออก แหม.. มีชีวิตขึ้นมาเลย.. มันเป็นไปไม่ได้! วิปัสสนามันเกิดจากสมถะ มึงเกลียดเมล็ดพันธุ์พืชแต่มึงอยากได้ต้นไม้ มึงพูดเป็นลิเก มึงอยากได้ต้นไม้มึงก็ต้องเอาเมล็ดพันธุ์มันมาสิ แล้วเพาะมัน เพาะมันขึ้นมา เดี๋ยวต้นมันจะใหญ่โตขึ้นมา

ไม่ได้ เมล็ดพันธุ์พืชไม่มีประโยชน์ จะเอาท่อนซุง จะเอาท่อนซุง ก็มึงไม่ปลูกแล้วท่อนซุงจะมาอย่างไรล่ะ อ้าว.. มึงปลูกมาสิเดี๋ยวท่อนซุงมันจะมา พอโตขึ้นมาเดี๋ยวกูจะโค่น กูจะเลื่อยปลูกบ้าน นี่ถ้าเป็นแล้วมันต้องต่อเนื่องกัน.. ผู้ชายคนเดียวไม่มีผู้หญิง จะมีลูกไหม? ผู้หญิงคนเดียวไม่มีผู้ชาย จะมีลูกไหม? ไม่มีหรอก มีแต่ผู้ชายหมดเลย แล้วบอกให้มันคลอดลูกมา เป็นไปไม่ได้หรอก ก็มีผู้หญิงอย่างเดียวไม่มีผู้ชายเลย แล้วมึงจะมีลูกขึ้นมาได้ไหม? ไม่มี!

สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ถ้ามันแยกออกไปแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ แต่ผู้หญิงกับผู้ชายอยู่ครองเรือนกันมันก็มีลูก สมถะกับวิปัสสนาเข้ามาด้วยกันมันก็จะเกิดนิพพาน โธ่เอ้ย..

ถาม : สะสมบุญ ทำบาปได้หรือเปล่า

หลวงพ่อ : ได้ ได้ สุนัขนะ.. พระปัจเจกพุทธเจ้า มีครอบครัวๆ หนึ่ง นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าไปฉัน ๑ พรรษา แล้วพอมาถึงไปทุกวันๆ มันต้องมีคนตามคนส่งใช่ไหม ก็บอกว่า “ต่อไปนี้ เรารู้กันแล้ว ถ้าอาหารเสร็จแล้วจะให้สุนัขนี้มาตาม” สุนัขมันไปตามทุกวันเลยนะ ไปถึงมันก็เห่า พระปัจเจกพุทธเจ้ารู้กันก็ตามมันมา ทีนี้พระปัจเจกพุทธเจ้าฉลาด ท่านเดินหลงทางบ้าง มันก็ไม่ยอมนะ มันไปคาบจีวรดึงกลับๆ

พอออกพรรษาพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นต้องธุดงค์ไป สุนัขตัวนั้นมันรักพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก มันหอนจนมันตาย พอมันตายมันไปเกิดเป็นเทวดาชื่อท้าวโฆสก ท้าวโฆสกเป็นเทวดาที่เสียงเพราะที่สุด สุนัขนะ สุนัขไปเกิดเป็นเทวดาชื่อท้าวโฆสกที่เสียงไพเราะมาก ชาวพุทธทับศัพท์มาว่าโฆษก ไอ้โฆษกก็คือหมา โฆษกทั้งหมดคือหมา หมาจากท้าวโฆสก

สะสมบุญได้ไหม.. ได้ สัตว์ทำถึงที่สุดแห่งทุกข์ไม่ได้ สัตว์จะเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ เพราะมันไม่มีปัญญาพอในชาติภพของมัน แต่สัตว์สะสมคุณงามความดี สัตว์ที่ดีมันเลี้ยงลูกมัน มันดูแลลูกมัน มันเป็นผู้นำที่ดี มันเสียสละในชีวิตเพื่อหมู่คณะของมัน มันมีบุญ เป็นบุญได้.. สัตว์ทำบุญ ทำบาปได้ ดูสิสัตว์บางตัวมันรังแกเขามาก

ถ้าพูดอย่างนี้นะ มีลูกศิษย์พูดบ่อย “หลวงพ่อ แล้วเสือมันกินสัตว์ทุกวันเลย มันจะทำบุญอย่างไรล่ะ ถ้าเป็นเสือมันก็เสียเปรียบสิ เพราะวัวมันกินแต่หญ้า แล้วเสือมันกินแต่สัตว์ แล้วเสือทำอย่างไรล่ะ?”

เราก็บอกว่า “แล้วทำไมถึงเกิดเป็นเสือล่ะ?” กรรม เห็นไหม ทำไมไม่เกิดเป็นควายล่ะ? อ้าว.. เกิดเป็นควายก็ต้องไถนา ไม่เอา เกิดเป็นเสือดีกว่า

นี่เราจะยกให้เห็นว่า การคิดแบบวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องหนึ่ง เวลาเรามองธรรมะกัน เราจะเอาปัญญา เอาสมอง เอาเป็นทางวิทยาศาสตร์ไปส่องดูธรรมะ แล้วก็เอามุมมอง เอาความเห็นที่ตายตัวไปส่องดูธรรมะ แล้วก็ว่าพระองค์นั้นเอาเปรียบ พระองค์นั้นไม่เอาไหน พระองค์นั้นดี พระองค์นั้นชั่วด้วยสายตาวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าสายตาของธรรมนะ หลวงตาท่านบอกเลย “พระองค์นั้นดี พระองค์นั้นขยัน พระองค์นั้นอยู่ในป่า พระองค์นั้น..” เพราะเขาดูแววออกไง

เขาดูแววออกนะ ดูว่าองค์ไหนมีหลักมีเกณฑ์ องค์ไหนจะทำเพื่อประโยชน์ได้หรือไม่ได้ ดูอย่างเช่นหลวงตา หลวงปู่มั่นท่านบอกเลยนะ “จะมีพระลูกศิษย์ของท่านองค์หนึ่ง จะทำประโยชน์กับศาสนา แล้วจะทำประโยชน์กับโลกด้วย”

หลวงปู่เจี๊ยะท่านฟังมาตลอด แล้วเวลาใครมาก็บอกว่า ใช่องค์นี้ไหม ใช่องค์นี้ไหม? เฉย.. พอหลวงตามา ใช่องค์นี้ไหม? ไม่พูดเลย ถ้าก่อนหน้านั้นพอองค์ไหนมา.. ไม่ใช่ องค์นี้ใช่ไหม.. ไม่ใช่ ไม่ใช่ เห็นไหม รู้ตั้งแต่หลวงตายังไม่เข้าไปหาหลวงปู่มั่น ว่าจะมีพระองค์หนึ่งเหมือนหลวงปู่เจี๊ยะ แต่ไม่ใช่หลวงปู่เจี๊ยะ (หัวเราะ) พระองค์นี้จะทำประโยชน์มหาศาลเลย

หลวงปู่เจี๊ยะท่านพูดเอง หลวงปู่เจี๊ยะท่านเล่าให้ฟังประจำ เห็นไหม มันรู้ได้ขนาดนั้น ถ้าเป็นธรรม ถ้าจิตที่เป็นธรรมแล้ว มันรู้อดีต อนาคต รู้ที่มาที่ไป รู้หมดเลย เพียงแต่ว่ามันจะถึงประโยชน์ตอนนั้นหรือยัง จะพูดมาเพื่อเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์

ฉะนั้นถ้าเราเอาวิทยาศาสตร์ไปจับ มันก็มุมมองอย่างพวกเรานี่แหละ แต่ถ้าปฏิบัติขึ้นมาแล้วนะ วิทยาศาสตร์เป็นการแสดงออกของธรรม เวลาแสดงธรรมต้องแสดงธรรมให้เป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อเราจับต้อง เพราะจิตใจเรา การศึกษาทางวิชาการของเรามันสัมผัสได้ ฉะนั้นเอาธรรมะ นี่ธรรมะต้องมาเป็นโลกไง

วิทยาศาสตร์คือโลก วิทยาศาสตร์คือกติกา คือรูปแบบ เราต้องอธิบายธรรมะให้มันเป็นรูปแบบ ให้เราจับต้องสิ่งนี้ได้ ถ้าจับต้องสิ่งนี้ได้เราถึงเข้าใจได้ แต่เวลาปฏิบัติเข้าไปแล้วมันลึกซึ้งละเอียดกว้างขวางกว่าที่เราคิดมหาศาลเลย ฉะนั้นเวลาเราปฏิบัติธรรมแล้วธรรมถึงเหนือโลก

ฉะนั้นว่าสะสมบุญได้ไหม ทำบาปได้ไหม.. ได้ บุญ บาปนี่ใครก็ทำได้ แต่! แต่มรรค ผลนี้ไม่ได้ ไม่ได้ที่มรรค ผลนั้น เพราะมรรค ผล มันใช้มรรคญาณ มรรคญาณคือปัญญาในปัจจุบันนี้ เวลาเราชำระความลังเลสงสัย ชำระกิเลสในหัวใจเรา เราจะไปเอาอดีต อนาคตไปชำระไม่ได้ แล้วสัตว์มันไม่มีปัญญาได้ขนาดนั้นไง สัตว์ทำไม่ได้ เราเป็นมนุษย์นี่ทำได้ มนุษย์นี้สำคัญมาก

ถาม : เป็นทหาร ไปฆ่าศัตรูบาปหรือเปล่า

หลวงพ่อ : (หัวเราะ) เวลา ๓ จังหวัดภาคใต้ เวลาทหารเขาจะไปปกครองประเทศชาติ เขาจะไปลาหลวงตา เวลาไปลาหลวงตา หลวงตาจะให้พร เราไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ เราไปเพื่อประโยชน์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถ้าเราทำด้วยหัวใจที่ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพราะมันเป็นหน้าที่ การทำหน้าที่ด้วยหัวใจที่ไม่ได้ผูกโกรธ ไม่ได้จงใจ ไม่ได้ทำให้เขาถึงเป็นถึงตาย แต่เราต้องการปกครองปกป้องสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม มันก็เท่ากับปกป้องธรรม คนที่ปกป้องธรรมเพื่อรักษาธรรม

ฉะนั้นถ้ามันผิดพลาด ไปถึงแล้วเราฆ่าศัตรูเป็นบาปหรือเปล่า.. ใครเป็นศัตรูเราล่ะ? ไม่มี มันไม่มีใครเป็นศัตรูเรานะถ้าไม่เกิดสงคราม เกิดสงคราม ประกาศสงครามโดยผู้นำ ทหารไม่รู้ ทหารไม่เกี่ยว แต่หน้าที่ของทหาร ในเมื่อจะปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นหน้าที่ เห็นไหม ถ้ามันแบ่งออกไปมันจะแยกออกไปไง แต่ถ้าบอกว่าเป็นคนแล้วฆ่าคน บาปไหม? บาป ฆ่าสัตว์ก็บาป ฆ่าอะไรก็บาป การฆ่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเป็นบุญเลย เว้นไว้อย่างเดียว ฆ่ากิเลส

“การฆ่ากิเลสนี้เป็นบุญอย่างยิ่ง”

การฆ่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์เลย ไม่มี! แล้วทหารไปฆ่าเขาทำไมล่ะ? เราจะบอกว่าไม่มีเจตนา ไม่ได้ตั้งใจฆ่า ทำตามหน้าที่ แต่ถ้าไปเป็นทหาร แล้วไปเจ้าคิดเจ้าแค้น อันนั้นมันก็มีของมันนะ เวลามีนี่มีเพราะอะไร มีเพราะเจตนา มีเพราะความรู้ความเห็นของเรา มันเป็นเวรเป็นกรรม เห็นไหม จากที่พูดเมื่อกี้ว่า จิตดวงหนึ่งไปเกิดแล้วไปเกิดแล้วไปเกิดอีก

นี่ถ้าสิ่งนี้มันซับลงที่ใจเรา ความคิด ความอ่าน คิดย้ำๆ คิดกระทำบ่อยๆ จนเป็นนิสัย คนคิดแล้วคิดเล่า คิดแล้วคิดเล่า คิดแต่อย่างนั้นมันก็จะเป็นนิสัยของคนนั้น แต่ถ้าเราคิดว่าสิ่งนี้ไม่ดี เราไม่ควรคิด เราคิดแต่ส่วนที่ดี เห็นไหม นิสัยเราจะเริ่มเปลี่ยนแปลง การบังคับให้ความคิดไม่คิดนี้เป็นงานที่ยากมาก ฉะนั้นพอมันคิดสิ่งที่ไม่ดี คิดซ้ำคิดซาก แล้วเราใช้สติปัญญาแก้ไขมัน สิ่งนี้มันแก้ไขพันธุกรรม แก้ไขความเคยใจ ถ้าหัวใจมันเคยแก้ไข มันมีการเปลี่ยนแปลง เราจะดีขึ้น ดีขึ้น ดีขึ้น.. นี้บอกว่า สิ่งที่ย้ำคิดย้ำทำมันจะเป็นของมันไป

ฉะนั้นทหารไปฆ่าศัตรูจะบาปหรือเปล่า ถ้าตอบว่าบาป ทหารมันก็วางอาวุธหมดเลยนะ ทหารมันไม่ไปแล้ว โอ๋ย.. ทหารไม่ป้องกันประเทศแล้ว เดี๋ยวจะเกณฑ์พวกนี้ไปเป็นทหาร เพราะทหารมันไม่ทำงานแล้ว

มันต้องดูหน้าที่ ดูเจตนา ดูความเป็นจริง ตรงนี้เขาเรียกว่า “สัมมาอาชีวะ” เราเลือกเองตั้งแต่ต้น เราเลือกอาชีพนี้ หน้าที่ของเรา เราต้องซื่อสัตย์กับวิชาชีพของเรา เราเลือกอาชีพ ฉะนั้นเลือกแล้วเราก็ต้องทำด้วยความเป็นธรรม เพราะเราเลือก แต่ถ้าเราไม่ต้องการทำเพราะมันไม่ถูกต้อง เราก็เปลี่ยนอาชีพ ก็จบ

สัมมาอาชีวะ มิจฉาอาชีวะ เพราะอาชีพมันมีสะอาดบริสุทธิ์ อาชีพที่กึ่งกลาง อาชีพแต่ละอาชีพ อาชีพที่สะอาดบริสุทธิ์ อาชีพที่ไม่มีสิ่งอะไรที่จะเศร้าหมองเลย นี้เป็นมรรคของฆราวาสนะ ไม่ใช่มรรคของพระนะ สัมมาอาชีวะของพระละเอียดกว่านี้เยอะนัก มรรค ๘ มรรค ๘ มรรคที่ฆ่ากิเลสมันยังไปอีกไกล ฉะนั้นสิ่งนี้มันเป็นเรื่องของโลก อืม..

ถาม : ฆราวาสต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะหลุดพ้นได้

หลวงพ่อ : ก็ปฏิบัติแบบพระนั่นแหละ เพราะฆราวาสนะก็หลุดพ้นได้ มันไม่ได้หลุดพ้นได้ด้วยเครื่องแบบ หลุดพ้นด้วยหัวใจ หัวใจถ้ามีสัจธรรม นี่สัจธรรม มรรคญาณทำให้ใจนี้หลุดพ้น ฉะนั้นพระเจ้าสุทโธทนะเป็นฆราวาส เป็นพระอรหันต์

ในสมัยพุทธกาลนะฆราวาสเป็นพระอรหันต์หลายคน ฉะนั้นเวลาเราปฏิบัติธรรมกันแล้ว ว่าจะประพฤติปฏิบัติเราต้องมีศีล เราต้องมีธรรม เราก็อยากเป็นนักบวช เพราะนักบวชมีศีลพร้อม มีทุกอย่างพร้อม แล้วนักบวชยังสงสัยว่านิพพานหรือไม่นิพพานอยู่นั่นเลย

ฉะนั้น “ฆราวาสปฏิบัติธรรมอย่างไรถึงจะพ้นจากทุกข์ได้”

บวชใจไง ฆราวาสก็ต้องปฏิบัติ อริยสัจมันมีหนึ่งเดียว.. อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคญาณมีหนึ่งเดียว เป็นโสดาบันก็โสดาบันอันเดียวกัน จะเป็นเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ จะมีจริตนิสัยอย่างไร โสดาบันก็คือโสดาบัน ตรวจสอบได้ สกิทาคามีคือสกิทาคามี อนาคามีคืออนาคามี พระอรหันต์คือพระอรหันต์ จะมาแนวทางไหน จะมาแนวทางปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา จะเป็นขิปปาภิญญา ปฏิบัติเร็วรู้เร็ว ปฏิบัติยากรู้ง่าย ปฏิบัติง่ายรู้ยาก ทำทางไหนก็แล้วแต่ ผลคืออันเดียวกัน คือเข้าสู่อริยสัจเหมือนกัน

ฉะนั้นจะบอกว่า ฉันประเภทนี้ไม่เกี่ยวกับประเภทนั้น ไม่มีหรอก ประเภทเดียวกัน พระอรหันต์มีประเภทเดียว อริยสัจมีหนึ่งเดียว ไม่มีสอง อันเดียวกัน.. ฉะนั้นเป็นโยมหรือเป็นพระ มันก็อันเดียวกันไง ถ้าโยมเป็นพระอรหันต์ก็ต้องเข้ามาสู่จุดนี้เหมือนกันไง เป็นพระก็ต้องมาสู่จุดนี้เหมือนกันไง มันมีที่เดียว มันเป็นประตูเดียวที่ต้องผ่าน ไม่มีใครบอก ไม่เข้าประตูนี้จะเข้าประตูอื่น นิพพานอันนี้ไม่เอา จะไปเอานิพพานอันอื่นดีกว่า นั่นคือไม่หันต์ไง ถ้าหันต์แล้วมันจะรู้ ถ้าไม่หันต์ก็คือไม่หันต์

ถาม : ถ้าจิตของเราฟุ้งซ่านตลอดเวลา จะทำอย่างไรครับถึงจะไม่ฟุ้งซ่านอีก

หลวงพ่อ : ถ้าจิตของเราฟุ้งซ่านอยู่ตลอดเวลา เห็นไหม ให้ตั้งสติ หลวงตาบอกว่า “ความคิด ความฟุ้งซ่าน ยิ่งกว่าคลื่นของทะเล ถ้ามีสตินี่ยับยั้งได้หมดเลย”

สตินี้หลวงตาท่านเปรียบเหมือนฝ่ามือ ฝ่ามือสามารถกั้นคลื่นทะเลได้หมด มันแปลกไหม แต่ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์บอกเป็นไปไม่ได้ เพราะคลื่นขนาดนั้น แหม.. ฝ่ามือนิดเดียว แต่ท่านเปรียบเทียบ หลวงตาท่านพูดคำนี้ เราชอบมาก ท่านบอกว่า

“ถ้าเราตั้งสติ สตินี้เหมือนฝ่ามือ สามารถกั้นคลื่นของทะเลได้หมดเลย”

คลื่นทะเลคือความคิดไง ความฟุ้งซ่านไง พอมีสติกึ๊ก ความคิดไม่มีเลย พอเผลอปั๊บ คิดทันทีเลย ถ้ามีสติปั๊บ หยุดทันทีเลย ทีนี้ต้องฝึกบ่อยๆ ฝึกบ่อยๆ ถ้ามันไปพุทโธ.. พุทโธ นี้มันเป็นการต่อสู้ ธรรมดาจิตมันคิดอยู่แล้วใช่ไหม คิดนี่มันสะดวกสบาย พอพุทโธแล้วอึดอัดขัดข้อง เบื่อหน่าย เพราะเราจะไปบังคับไม่ให้คิดไง เราจะบังคับความคิดให้มันคิดพุทโธแทนไง นี่คือคำบริกรรม แต่ถ้ามีสติปั๊บนี่ยับยั้งได้หมด

นี่พูดถึงว่าถ้าจิตมันฟุ้งซ่านมันอยู่ที่จริตนิสัยนะ ถ้าคนนิสัยเป็นอย่างนี้ก็คือเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าเราพยายามของเราขึ้นมาถึงที่สุดแล้ว ชำระกิเลสได้แล้วนะมันฆ่ากิเลสได้ นิสัยก็คือนิสัยอย่างเดิมนั่นแหละ

ฉะนั้นถ้ามันฟุ้งซ่านเราก็ต้องหาเหตุ หาผล หาช่องทางไง เพราะว่าอยู่กับครูบาอาจารย์ ท่านจะแนะนำเยอะมาก ถ้ามันฟุ้งซ่านนักนะ กูไม่กินข้าว ไม่นอน แม้แต่รักนี่นะ รักๆ นี่นะ อดข้าวยังแก้ได้เลย รักๆ นี่ ฉะนั้นฟุ้งซ่าน ถ้าเป็นกรรมฐาน เป็นหมู่คณะกัน ถ้าอย่างนี้สู้ทันทีเลย สู้เลย เพราะมันเกิดที่ใจเรา ต้องดับที่ใจเรา เราเป็นคนฟุ้งซ่าน เราต้องดับเรา คนอื่นทำให้เราไม่ได้

ฉะนั้นเราจะทำอย่างไรก็แล้วแต่มันเป็นผลประโยชน์ของเรา เราจะทุกข์ เราจะยาก มันก็เป็นประโยชน์ของเรา เราพอใจทำนะ แต่ถ้าไม่เป็นประโยชน์กับเรา เรายังไม่แน่ใจ เราจะไม่กล้าทำ

ถาม : การเทศนาหรือสอนธรรมะโดยใช้วาจาที่ไม่สุภาพนั้น ขัดต่อจรรยาบรรณ และหลักปฏิบัติของสงฆ์หรือไม่ ถ้าไม่หรือขัดต่อจรรยาบรรณและหลักปฏิบัติ แต่ขึ้นอยู่กับเจตนาและผู้กระทำ ตามวุฒิภาวะทั่วไปได้เป็นธรรมเอง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแต่ไม่กระทำ ปฏิบัติผิดธรรมวินัยหรือไม่

หลวงพ่อ : สมณสารูป เห็นไหม เวลาพระบวชใหม่ ในนวโกวาทภัยของพระบวชใหม่คือการทนคำสอนของพระบวชเก่า พระบวชใหม่นี่ ภัยที่เป็นสุดกับตัวเองเลยคือทนคำสอนของผู้อยู่เดิมไม่ได้ เพราะเราเคยชินกับฆราวาส เราเคยชินกับจริตนิสัยของเรา ทีนี้พอเข้ามา อาจารย์จะมาบังคับเราที่วัด ห้ามเดินอย่างนั้น ห้ามเดินอย่างนี้ ผิดหมดๆๆ

ผิดจริงๆ เขาเรียก “สมณสารูป” พระบวชใหม่ สิ่งที่เป็นความทุกข์ของพระบวชใหม่ คือทนคำสอนได้ยาก เพราะเราไม่เคยไง เราไม่เข้าใจว่าผิดอะไร พระเดินกับมนุษย์เดินมันต่างกันตรงไหน มนุษย์ก็เดินได้ พระก็เดินได้ ทำไมพระบวชมาแล้วเดินมันผิดล่ะ? ผิดเพราะว่า การเดินตัวโยกตัวคลอนผิดหมด การเดินแกว่งแขนก็ผิด.. ฉะนั้นผิดอย่างนี้ นี่พูดถึงสมณสารูป

“แล้วการแสดงธรรมหรือสอนธรรมะโดยใช้วาจาไม่สุภาพ ขัดต่อจริยธรรมหรือเปล่า” ไม่ขัด เป็นประโยชน์ต่างหาก มันเป็นประโยชน์เพราะอะไร มันเป็นประโยชน์เพราะมันหันต์จริงเว้ย ถ้าหันต์ไม่จริงมันก็เป็นโทษน่ะสิ

หันต์จริงคืออะไร? ถ้าหันต์จริง หลวงปู่มั่นท่านแรงกว่านี้เยอะมาก ไปดูหลวงปู่ตื้อนะ หลวงปู่ตื้อนี่หลวงตาบอกว่ายอดธรรม แล้วใครฟังเทศน์หลวงปู่ตื้อไม่ได้เลย เรื่องอวัยวะเพศอย่างเดียวไม่มีอย่างอื่นเลย อย่างนั้นมันขัดต่อธรรมไหม? มันยอดธรรมตรงไหน? มันยอดธรรม มันทิ่มเข้าหัวใจไง

การแสดงธรรมนะ การฟังธรรมมันมีอานิสงส์ ๔ อย่าง สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้ว แก้ความลังเลสงสัย.. นี่อานิสงส์ของมันนะ แล้วเอ็งได้อะไรล่ะ ก็ได้บุญกลับบ้านไง แต่ถ้าฟังพระปฏิบัติ พระกรรมฐานนะ จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง เวลาแสดงธรรมมันทิ่มเข้าหัวใจเลย! มันทิ่มเข้าหัวใจเลย! ถ้ามันทิ่มเข้าหัวใจเลย มันจะเปลี่ยนแปลงมัน

การฟังธรรมที่เป็นประโยชน์ เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์พูดออกมามันสะเทือนหัวใจเลย พูดออกมานะ โอ้โฮ.. รู้ได้อย่างไร รู้ได้อย่างไร ขนพองหมดเลย ถ้าขนพองอย่างนั้นมันถึงเป็นประโยชน์ไง ฉะนั้นศาสนธรรมที่ว่าจากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง มันหาไม่ได้หรอก จากใจดวงหนึ่งคือธรรมในหัวใจที่มีจริง แล้วธรรมอันนี้มันยิงเข้าใจมึงไง มึงหาที่ไหน! ไปหาจนตาย หาก็หาไม่เจอ

พอแสดงธรรม โอ๋ย.. มันขัดกับจริยธรรม มันขัดกับจรรยาบรรณ มันขัดกับธรรมวินัย.. มีคนถามเยอะมาก มันเป็นทุภาษิตหรือเปล่า คำพูดนี้มันเป็นทุภาษิตไหม? ทุภาษิต อาบัติ เห็นไหม มันเป็นอาบัติทั้งนั้นแหละ คำว่าทุภาษิต นี่กรรม ลักทรัพย์ ผู้ที่คิดอยากจะลัก การลักนั้นเกิดขึ้น คือมันมีผลตอบสนองไง มันถึงเป็นอาบัติไง

แต่ผลตอบสนองนี้ตอบสนองเหมือนพ่อแม่ไง รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี ครูบาอาจารย์ท่านตีเราด้วยเสียง ท่านตีเราด้วยธรรม การแสดงออกมาจากธรรมนั่นน่ะ รักวัวให้ผูก ให้ลูกให้ตี ครูบาอาจารย์ท่านอยากจะฝึกลูกศิษย์ลูกหา ท่านใช้ธรรมนั่นล่ะ ธรรมอันนั้นมันกระหน่ำเข้าไปในหัวใจ มันฟาดฟันกิเลสในใจเรา

เรายังไม่รู้ตัวเลยนะ กิเลสมันขี่หัวนะ แล้วมันขี้ถ่ายนะ ครูบาอาจารย์บอกท่านปัดขี้ให้ เช็ดขี้ให้ บอกว่า โอ้โฮ.. อาจารย์ดุนะ โอ๋ย.. ขัดกับจริยธรรม ขัดกับจรรยาบรรณ.. มึงจะตายอยู่แล้วมึงยังไม่รู้จรรยาบรรณอีกหรือ มึงจะตายอยู่แล้ว เขาเช็ดขี้ กิเลสมันขี้บนหัวใจมึง มึงยังไม่รู้สึกตัวอีกเลยเหรอ

อันนี้พูดถึงนะ แต่พูดถึงถ้าเป็นธรรมผิดไหม? อ้าว.. ก็วินัยบัญญัติไว้นั่นน่ะ สมณสารูป มันไม่สำรวม มันผิดสมณสารูป.. อันนี้มันเป็นสมมุติบัญญัติ กฎหมายกับวินัยก็คือกฎหมาย ผิด ถูกมันก็ว่ากันตามกฎหมายนั้น แต่สิ่งที่ทำที่เหนือกฎหมาย สิ่งที่ทำคุณงามความดีมากกว่านั้น ใครจะเป็นคนทำ ทำคุณงามความดีมากกว่านั้นนะ

ไอ้กรณีอย่างนี้เราพูดด้วยความขำนะ เพราะว่าคนมาพูดบอกว่า พูดหยาบคายนี่เยอะมาก หยาบคายเพราะมันโดนกิเลสมึงใช่ไหมล่ะ? กิเลสมึงสะเทือนใช่ไหมล่ะ? ถ้ากิเลสมึงไม่สะเทือนมันก็ว่ากูไม่หยาบใช่ไหมล่ะ? (หัวเราะ) แหม.. มันสะเทือนกิเลส มันสะเทือนหัวใจ มันคันๆ มันคันๆ ก็ดี ก็พูดให้คันๆ เพราะถ้าพูดให้เข้าหัวใจมันถึงจะเป็นธรรม ถ้าไม่อย่างนั้นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา

หลวงตาท่านพูดบ่อย “พูดจนชินปาก ฟังจนชินหู หัวใจมันดื้อด้าน ฟังเทศน์พอเป็นพิธี ฟังเสร็จแล้วก็เอาไปเก็บใส่ตู้ ตัวเองก็ยังทำอย่างเดิม พอฟังเป็นพิธี! ฟังให้มันดื้อด้าน!” แต่ถ้ามันฟังจริงมันจะถึงใจมัน มันจะรู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก ถูกเพราะกูนี่ไง กูก็คือใจเราเองนี่แหละ ผิด ถูกก็คือหัวใจนี้

ถาม : การที่เราไม่สามารถบังคับใจให้คิดดีได้ แต่สามารถบังคับให้พูด ให้ทำดีได้ ถือว่าบาปหรือเปล่า

หลวงพ่อ : ไม่บาปหรอก คำว่าบาปนี่นะ อะไรก็บาป อะไรก็บาป มันก็จะเป็นบาปไปหมด แต่การที่เราไม่สามารถคิดดีได้ ความคิดมันไม่มีการควบคุม เห็นไหม อาบัติของจิตไม่มี อาบัติของการกระทำ อาบัติของกายมี วจีกรรม กายกรรมมี แต่ความคิดเป็นอาบัติไม่มี เพราะมันสุดวิสัยของคนที่จะควบคุมได้ แต่คิดแล้วมันจะบังคับให้ดีขึ้นมา ถ้าคิดบ่อยๆ ย้ำคิดย้ำทำมันจะเป็นนิสัย เขาเรียก “มโนกรรม”

“มโนกรรม วจีกรรม กายกรรม”

มโนกรรม กรรมสิ่งที่ไม่ดี มโนกรรมนี่สำคัญมากนะ สำคัญมากเพราะอะไร เพราะมันตอกลงสู่จิตเลยไง มันเกิดขึ้นที่จิต แล้วมันก็ตอกลงสู่จิต ถ้ามันตอกลงสู่จิตมันจะเป็นนิสัยอย่างนั้น ถ้าเราเห็นว่ามันไม่สมควร มันไม่ดี เราก็พยายามว่าคิดไม่ดีแล้ว แล้วเราก็เปลี่ยนแปลงมัน พยายามเปลี่ยนแปลงมัน ทำไมเขาคิดดีได้ ทำไมเราคิดดีไม่ได้ คิดไม่ดีมันให้ผลเป็นไม่ดี.. ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราเชื่อมั่นมาก

ฉะนั้นเวลาเราคิดไม่ดีๆ คิดแล้วถึงมีการกระทำ คนจะปล้นนะ ดูโจรมันปล้นสิ มันวางแผนนี่เราเข้าไม่ถึงมันเลยนะ มันวางแผน ๓ ชั้น ๔ ชั้นนะ มันเปลี่ยนรถ ถ่ายรถ อู๋ย.. เอาไม่ทันมันเลย ความคิดอย่างนั้นคิดอย่างไร? คิดชั่ว แล้วมันได้ผลอะไรล่ะ ได้ผลคือเวรกรรม เพราะปล้นเสร็จแล้วนะ มันก็ไปนั่งอยู่บ้านนะ เจอตำรวจไม่ได้ เจอคนแปลกหน้าไม่ได้ เจอเสียงหมาเห่าไม่ได้ มันวิตกกังวลว่ามันจะโดนจับไง

ถ้ามันทำไปแล้วมันก็เป็นกรรมที่ไม่ดี แต่ถ้ามันแก้ไข นี่แก้ไขให้ใจสะอาดบริสุทธิ์ การแก้ไขใจเป็นเรื่องที่ยากมาก การชนะสงครามนะ รบขนาดไหน ชนะมาคูณด้วยล้านๆ ล้านๆ สร้างเวรสร้างกรรมหมดเลย

การชนะที่ประเสริฐคือการชนะความคิด การชนะใจนี่ประเสริฐที่สุด การชนะใจเรานี่ประเสริฐที่สุด! ฉะนั้นถ้าการชนะใจประเสริฐที่สุด เพราะมันไม่ทำร้ายใคร มันจะไม่คิดและไม่ทำร้ายใครอีกเลย ไม่คิดทำให้คนอื่นเดือดร้อนหมดเลย มันประเสริฐไหม?

นี่ไงเราถึงบอกว่ามันสำคัญตรงนี้ไง สำคัญที่ว่าถ้ามันคิดดีแล้วมันจะเป็นดีกับเราไง แล้วบอกว่ามันคิดไม่ได้ แล้วถ้าคิดแล้วมันจะเป็นบาปไหม มันจะเป็นบาปมันก็เป็นมโนกรรม มันเป็นบาปที่เรารู้อยู่คนเดียว ความลับไม่มีในโลก คิดเองก็รู้เอง ใครคิดอะไรก็รู้เรื่องอย่างนั้น มันรู้ของมันอยู่แล้ว

ถาม : การเพิกเฉยต่อการทำดี ถือว่าเป็นบาปหรือไม่ เช่นเห็นคนจะจมน้ำแล้วไม่ช่วยเหลือ ทั้งๆ ที่มีความสามารถช่วยได้

หลวงพ่อ : อันนี้บางทีไม่ต้องตอบเลยล่ะ มันก็รู้อยู่แก่ใจ เราจะช่วยเหลือเขาได้แล้วเราไม่ช่วยเหลือ แล้วถ้าเขาตายต่อหน้าแล้วเราเสียใจไหมล่ะ เศร้าใจไหมล่ะ.. ภาพอะไรที่เราเห็นแล้วเราทำไม่ได้ เราเสียใจทั้งนั้นแหละ

ฉะนั้นการเพิกเฉย ถ้าเป็นพระนะเขาปรับอาบัติปาจิตตีย์ อ้าว.. กล่าวตู่พุทธพจน์ ถ้าพระสวด ๓ หนไม่ถอนเป็นอาบัติสังฆาทิเสสนะ แล้วถ้าเพิกเฉยนี่เป็นปาจิตตีย์ตรงไหนล่ะ? ปาจิตตีย์นะ เกิดจากพระไม่เอื้อเฟื้อในวินัย ปรับอาบัติปาจิตตีย์ การเพิกเฉยคือการไม่เอื้อเฟื้อในวินัย คำว่าเอื้อเฟื้อต้องพร้อมใจกัน หมั่นประชุมพร้อมกัน หมั่นทำกิจกรรมพร้อมกัน คือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน

เขามีความเอื้อเฟื้อ มีความพร้อมเพรียง มีการกระทำ แล้วเราเพิกเฉย ไม่เอื้อเฟื้อในธรรมวินัยเป็นอาบัติปาจิตตีย์ ในปาจิตตีย์เป็นหรือเปล่า? เพิกเฉยคือการไม่เอื้อเฟื้อไง พระพุทธเจ้าสอนไว้ เห็นไหม ถ้าไม่เอื้อเฟื้อในธรรมวินัยเป็นอาบัติปาจิตตีย์ แล้วเราเพิกเฉยนี่เราก็พูดภาษาเรา ภาษาเราคือเพิกเฉยใช่ไหม ถ้าภาษาพระ แล้วภาษาพระมันตั้ง ๒,๐๐๐ กว่าปี เพราะบาลีเป็นภาษาที่ตายแล้ว แต่มันก็ยังแปลงมา มันก็ยังใช้ได้อยู่

“การเพิกเฉยต่อการทำความดีเป็นบาปหรือไม่”

เราเพิกเฉย.. บุญนะ บางคนบอกว่าทำบุญๆ ไม่มีอะไรจะทำ เดินไปบนถนนนะ แล้วเราหลีกทางให้เขา นี่บุญเกิดแล้ว บุญเพราะเราเอื้อเฟื้อไง เราให้โอกาสเขาก่อนไง แค่ให้โอกาสแค่นั้น นี่เป็นบุญนะ เป็นบุญแล้ว ทีนี้บุญมันเกิด ถ้าเราฉลาด เราทำแล้วเราได้บุญหมดแหละ

ฉะนั้นเพิกเฉย ถ้าพูดถึงว่าเขาจะจมน้ำต่อหน้า แล้วเราไม่ทำนี่นะ อันนี้มันจะฝังใจเราไปเลยแหละ มันจะฝังใจคนเห็นนั้นไปตลอดเลย เราควรทำได้แต่เราไม่ทำ ถ้าเราควรทำได้แล้วเราทำ มันจะเป็นประโยชน์กับเรามาก

ฉะนั้นสิ่งนี้มันอยู่ที่นิสัย ถ้านิสัยไม่เอื้อเฟื้อมันก็จะเป็นคนขวางโลกไปตลอด ถ้าเป็นคนเอื้อเฟื้อ คนนั้นจะเป็นคนดีตลอด แล้วพวกก็จะมาก คนก็จะรัก ถ้าคนไม่เอื้อเฟื้อนะ วันหลังมึงก็ไปปลูกบ้านอยู่คนเดียว แล้วมึงต้องขุดหลุมพรางให้ดีนะ ระวังตัวเต็มที่เลย แต่ถ้ามึงเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มึงจะมีพรรคพวก มึงจะมีเพื่อนฝูง

“กลิ่นของศีลหอมทวนลม” กลิ่นของคุณงามความดีนี่เขาพูดต่อๆ กันไป คนนั้นจะมีบารมี เราทำความผิดพลาด ทำไม่ดี มันปากต่อปาก ปิดไม่ได้หรอก ฉะนั้นกรณีอย่างนี้มันเป็นความรู้สึกนึกคิด แต่ถ้าอย่างนี้เวลาจิตมันละเอียดขึ้นมา อย่างที่เราพูดมันจะมีประโยชน์ มันจะเป็นประโยชน์ของมันนะ

ทีนี้การเอื้อเฟื้อ แม้แต่คิดอย่างนี้นะ ถ้าบอกว่าเราไม่เอื้อเฟื้อในธรรมวินัยเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เวลาเราทำกิจกรรมเราต้องมีความละอายแก่ใจแล้ว ยิ่งปาติโมกข์ เห็นไหม สาธุ ภันเต สาธุ ภันเต มึงได้ทำด้วยหรือสาธุ ภันเต.. สาธุ ภันเต มันต้องทำด้วยกันสิ ปูเสื่อ ปูอะไรด้วยกันนะ พอเขาสวดใช่ไหม กิจกรรมได้ทำพร้อมกันใช่ไหม สาธุ!

ปาจิตตีย์นั่นน่ะ อ้าว.. ก็กูไม่ได้ทำเพิ่งเดินมา เขาถามว่าทำหรือเปล่า สาธุว่าทำ แต่ถ้ามันทำแล้วมันพ้นจากอาบัติหมดเลย เวลาอุโบสถไง แล้วเวลาสวดแล้วเขาถามนะว่าได้ปูเสื่อด้วยกันไหม ได้เอื้อเฟื้อไหม ได้ทำไหม.. สาธุ สาธุ ไม่ได้ทำอะไรเลย มานั่งจ่อมเมื่อกี้นี้แล้วว่าสาธุ มึงโกหกแล้ว ปาจิตตีย์!

ถาม : เคยรู้มาว่า วิทยาศาสตร์สมัยใหม่มีสมมุติฐานเกี่ยวกับเรื่องของความไม่มีตัวตน ในทางที่ค่อนข้างสอดคล้องกับอนัตตาของพุทธศาสนา เลยอยากทราบว่าจะสามารถเข้าใจเรื่องเหล่านี้ในแง่ของพุทธศาสนาได้อย่างไร

หลวงพ่อ : วิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์อย่างนี้มันไม่มีที่สิ้นสุดหรอก วิทยาศาสตร์นะ สสาร นิวเครียสต่างๆ มันเป็นไปของมัน วิทยาศาสตร์คือวิทยาศาสตร์ เราจะบอกว่าวิทยาศาสตร์คือโลก สสารทางวัตถุในสภาพหนึ่ง ก็จะเป็นสภาพหนึ่ง ในเรื่องพุทธศาสนา เรื่องความเป็นอนัตตา ความเป็นอนัตตา อนัตตาที่ไหน?

ความเป็นอนัตตานะคือการแปรสภาพ แต่การแปรสภาพโดยมรรคญาณ ความเห็นของจิตที่มันทำลาย มันคนละเรื่องเลยล่ะ.. เราจะบอกว่าวิทยาศาสตร์นะ อย่างที่พูดตั้งแต่เริ่มต้นว่าวิทยาศาสตร์นี้ เวลาแสดงธรรมต้องแสดงธรรมเป็นวิทยาศาสตร์เพื่อความรู้ แต่ถ้าบอกว่าธรรมะเป็นวิทยาศาสตร์ เราพูดไว้ในเว็บไซด์เยอะมาก ว่าวิทยาศาสตร์พิสูจน์ศาสนาไม่ได้

เราพูดประจำ วิทยาศาสตร์พิสูจน์ศาสนาไม่ได้ เพราะศาสนาเป็นสูตรทฤษฏีสำเร็จ ศาสนา ตัวสัจธรรมคือความรู้สึก ตัวกิเลสมันมีหน้าฉากหลังฉาก มีปลิ้นปล้อน มีกะล่อน มีหลอกลวง มีบังเงา มีแอบซ่อน วิทยาศาสตร์ที่เป็นสูตรสำเร็จไป ดูสิตาข่ายหรือสิ่งที่ดักสัตว์ เห็นไหม มันอยู่คงที่ของมัน มันโง่ต่างหากที่วิ่งเข้าไปชนมัน แต่ความรู้สึกนี้เป็นนามธรรม ตาข่ายต่างๆ นะมันรอดได้หมดเลย มันผ่านไปหมด

เป็นไปไม่ได้! นี่พูดในความรู้สึกเราเลยนะ ว่าวิทยาศาสตร์พิสูจน์ศาสนาไม่ได้ สิ่งที่พิสูจน์ศาสนามีอย่างเดียว คือจิตกับจิต นามธรรมกับนามธรรม แต่นามธรรมเวลาปฏิบัติไปแล้วนะ คนปฏิบัติเป็นนะ พอนามธรรมปฏิบัติไป

“อารมณ์ความรู้สึกของเธอเปรียบเหมือนกับวัตถุอันหนึ่ง”

สิ่งที่เป็นนามธรรมนี่มันพิสูจน์ได้เป็นเหมือนรูปธรรมเลย แต่รูปธรรมด้วยจิตทันจิตนะ เพราะจิตเราไม่ทันจิตเรา เพราะจิตเราไม่ทันความคิดเรา ถ้าจิตทันจิต เห็นไหม จิตมันทันหมดเลย อู๋ย.. ความเร็ว จิตเคลื่อนที่เร็วกว่าแสง แสงนี่ ดูสิความเร็วของแสง แสงเคลื่อนที่ด้วยเวลา แล้วจิตเคลื่อนที่ตอนนี้ก็ถึงอเมริกาสิ ตอนนี้ก็ถึงโลกพระจันทร์สิ ตอนนี้คิดถึงพรหมสิ มันไปกลับมาแล้ว กูยังนั่งอยู่นี่เลย

ความเคลื่อนที่ที่เร็วที่สุดคือความเคลื่อนที่ของแสง แต่ความเคลื่อนที่ของจิตเร็วกว่าแสง สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุดแล้วหยุดนิ่ง “สัมมาสมาธิ” สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุด แล้วทำให้มันหยุดได้ สิ่งที่หยุดแล้วมันจะพิสูจน์ตัวมันเองด้วยมรรคญาณทำอย่างไร นี่พูดถึงพอวิทยาศาสตร์เขาพูด คำพูดนี้เราก็ไม่ได้..

เพราะคนถามเขาต้องคิด มันคือความเห็นของเราใช่ไหม อันนี้คือคนตอบ คนตอบจะอธิบายให้ฟังว่าวิทยาศาสตร์พิสูจน์ศาสนาไม่ได้ เพราะวิทยาศาสตร์เป็นโลก พิสูจน์ศาสนาได้ด้วยมรรคญาณเท่านั้น ด้วยสิ่งที่เป็นนามธรรม แต่สิ่งที่เป็นนามธรรมนี้พอมันถึงที่สุดไปแล้วมันยิ่งกว่ารูปธรรมอีก มันแยกแยะได้ละเอียดลึกซึ้ง ความละเอียดลึกซึ้งเข้าไปเพราะมันเป็นอนัตตา

ความแปรสภาพ เห็นไหม ความแปรสภาพแล้วคงเหลือสิ่งใด สิ่งใดที่เป็นตะกอน สิ่งใดที่เป็นสภาวะ สิ่งใดที่เป็นภพ สิ่งใดที่มันอยู่ในตะกอนของใจอันนั้น แล้วการกรอง การกระทำของมันเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปนี่ลึกซึ้งมาก นี่พูดถึงการปฏิบัตินะ

ฉะนั้นการเห็นมาก เพราะตอนนี้นะนักวิทยาศาสตร์ พวกวงการแพทย์ เห็นไหม ว่าพระพุทธเจ้ารู้อย่างนั้น พระพุทธเจ้าเห็นอย่างนั้น กูก็นอนฟังอยู่ เอ๊ะ.. มึงพูดอะไรกันวะ ก็คิดไง มีดีกรีใช่ไหม มีการอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ใช่ไหม โอ้โฮ.. ตื่นเต้นกันใหญ่เลยนะ กูยังว่า เออ.. มึงจะจูงกันไปไหนวะนั่น มึงจะพากันไปไหนเว้ย.. แต่มันก็เรื่องของโลก โลกเขาจะว่ากันไป เราไม่เชื่อเลยนะ เราไม่เชื่อเลย มุมมองของโลก ไม่ใช่มุมมองของธรรม

“ธรรมเหนือโลก” ธรรมนี้ละเอียดลึกซึ้งมาก แต่ลึกซึ้งมีนะ ไม่ใช่ละเอียดลึกซึ้งจนมันจับต้องไม่ได้ โอ๋ย.. ละเอียดลึกซึ้งมาก เป็นนามธรรม โอ๋ย.. เลยไม่หันต์กันใหญ่เลย.. ละเอียดลึกซึ้งแต่จับต้องได้ พิสูจน์ได้ ไม่อย่างนั้นครูบาอาจารย์ของเราจะสอนกันไม่ได้ จับต้องไม่ได้ สิ่งใดที่สื่อสารกันไม่ได้เราจะรู้กันได้อย่างไร? มันสื่อสารได้ มันสื่อได้แบบผู้รู้กับผู้รู้ ถ้าผู้รู้กับผู้รู้สื่อสารกัน มันจะเป็นประโยชน์ตรงนั้น

ฉะนั้นนี้เรามาพูดกัน ทางวิทยาศาสตร์เขาจะคิดกันไป ว่ากันไป.. เราเห็นเขาเอามาเขียนหนังสือกัน แล้วนักวิทยาศาสตร์ทั้งนั้น ยิ่งองค์การนาซ่า อู้ฮู.. ว่ากันไปใหญ่เลยนะ เอ็งคิดเรื่องโลกของเอ็งให้จบก่อนเถอะ เห็นว่าจะไปดาวอังคาร มึงไปกลับมาก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน มึงยังไปไม่ถึงดาวอังคารมึงเลยนะ แล้ววัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เขาครอบคลุมหมด จิตพระอรหันต์คลุมทั้งสามโลกธาตุ

ฉะนั้นคิดมา ถ้าคิดมาเปรียบเทียบเป็นเชิงศาสนาเพื่อให้จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน ให้จิตใจมีที่เกาะ อย่างนี้เรียกว่า “ปัญญาอบรมสมาธิ” เราเอาจิตเรามาวิเคราะห์วิจัยในเชิงวิทยาศาสตร์ พอเชิงวิทยาศาสตร์มันเป็นทฤษฏี พอจิตใจของเรา เราวิเคราะห์วิจัยของเราในเชิงวิทยาศาสตร์ มันสามารถสงบได้ พอจิตใจเราสามารถสงบได้เราจะเห็นเลยว่า จิตใจที่สงบกับทฤษฏีวิทยาศาสตร์มันแตกต่างกันอย่างไร แล้วมันละเอียดลึกซึ้งเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป

ฉะนั้นจะเข้าใจเอง รู้เอง ชัดเจนเอง เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ไม่มีใครหลอกลวง เห็นไหม เวลาพระพุทธเจ้าสอนเรื่องกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใคร ไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์ ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น! ไม่ให้เชื่อ ให้พิสูจน์ พอพิสูจน์ขึ้นมาแล้วมันเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้เองเห็นเอง รู้จริงเห็นจริง แล้วพอรู้จริงเห็นจริงนี่ใครจะหลอกล่ะ เพราะเราเป็นผู้ปฏิบัติเอง ปฏิบัติให้รู้เองเห็นเอง

แต่ถ้าปฏิบัติโดยมืดบอด ปฏิบัติไปก็สร้างภาพไป ปฏิบัติไปก็ไม่หันต์ไปเรื่อย ขวางไปเรื่อย มันก็จะอยู่ของมันอย่างนั้นแหละ แต่ถ้าเราปฏิบัติจริง เห็นจริง รู้จริง เดี๋ยวมันจะเข้ามาชำระ เข้ามาทำความลังเลสงสัยในใจ แล้วอันนี้คือปัจจัตตัง พอเป็นปัจจัตตังอย่างนี้ เห็นไหม จะชนกับใครก็ได้

คำว่าชนหมายถึงว่า ธัมมสากัจฉา คือเอาธรรมะนี้มาเผื่อแผ่กัน.. ในวงกรรมฐาน หลวงปู่มั่นนะเวลาพระออกมาจากป่าจะคุยกัน เพราะอะไร มันเป็นประสบการณ์ชีวิตนะ นี่เขาไปพิสูจน์ ทดสอบในการกระทำของเขามาแล้ว แล้วในตรวจสอบ ทดสอบ เขาต้องมีสิ่งใดตกตะกอนในใจ มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์นะ เขาก็จะมารายงานหลวงปู่มั่นใช่ไหม เราก็คุยกัน ถามกัน

หลวงปู่มั่น ถ้าสิ่งใดเป็นประโยชน์ใช่ไหม ท่านก็จะตอบกับคนนี้โดยเฉพาะ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา เสร็จแล้วจะรวมพระเลย พอรวมพระเสร็จท่านจะเทศน์เลย เทศน์จากปัจจัยอันนี้ ปัจจัยที่ว่ามีคนที่ปฏิบัติมา ท่านจะเทศน์สอนมาเลย นี่มันจะเป็นประโยชน์ไง

มันเป็นประโยชน์ ถ้าเราปฏิบัติแล้วธัมมสากัจฉา เราคุยกัน เราพิจารณากัน นี่วงครอบครัวกรรมฐานมันถึงรู้ว่าวุฒิภาวะใครรู้จริงหรือไม่จริง เพราะความจริงอันนี้มันตรวจสอบกันตั้งแต่สมัยหลวงปู่มั่นมานะ ท่านทำให้กรรมฐานเราเข้มแข็งมาก พอเข้มแข็งขึ้นมา ที่เรามาพูดวันนี้ วันนี้พูดเรื่องวิปัสสนาธุระ

วิปัสสนาธุระหมายถึงว่า ผู้ปกครองในทางวิปัสสนาต้องมีพื้นฐาน ต้องมีความรู้จริง มันถึงจะปกครองจิตที่ไม่รู้จริงได้ ถ้าวิปัสสนาธุระ ผู้ที่เป็นผู้ปกครองไม่มีคุณธรรมในหัวใจที่เป็นความจริง จะไปปกครองใคร เพราะว่าปฏิบัติ จิตใจเขามีคุณธรรม เขาเลยหน้าเราไปแล้ว เขาถลำ เขาเลยหน้าเราไปแล้ว เขาหันมามองอาจารย์ เฮ้ย! อาจารย์มานี่ อาจารย์ยังโง่อยู่นั่นเลย อาจารย์ตามกูมา มันปกครองกันไม่ได้หรอก ถ้าปกครอง ผู้นำต้องเป็นผู้นำ ฉะนั้นการเป็นผู้นำ จิตอันนั้นจะเป็นประโยชน์มาก

นี่พูดถึงเวลาจิตของหลวงปู่มั่นท่านเป็นจริง ท่านทำประโยชน์กับศาสนาเราไว้มาก ธรรมดา ศาสนานี่มันเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งนะ ธรรมนี้ละเอียดลึกซึ้งมาก แล้วเราศึกษากัน เราศึกษาแล้วก็คาดหมาย แล้วก็พยายามจะให้รู้ขึ้นมา นี่เราทำของเราไม่ได้ แต่หลวงปู่มั่นท่านเอามาให้เราดูเลย ท่านพิสูจน์เลย อย่างนี้! อย่างนี้! อย่างนี้! พอไปนี่ท่านพูดใจเราหมดแล้ว แล้วตอนนี้มาเป็นประโยชน์กับเรา

นั่นพูดถึงทางวิทยาศาสตร์เนาะ เอวัง